ถ้าพื้นที่ใดใน 3 จชต. มีการสังหารหรือทำร้ายคนแก่ ผู้หญิงหรือเป้าหมายที่อ่อนแอ
ไม่มีทางต่อสู้โดยเฉพาะคนไทยพุทธ หรือข้าราชการเกษียณอายุ
แสดงว่าพื้นที่บริเวณนั้น BRN กำลังฝึกเยาวชนมลายูขั้นสุดท้าย
ก่อนจะจบหลักสูตรเป็นการทดสอบการปฏิบัติการว่าสามารถทำได้ตามที่ได้ฝึกไว้หรือไม่
ถ้าเป้าหมายถูกทำลายและไม่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมก็ถือว่าจบหลักสูตรเป็น RKK แล้วก็จะขึ้นทะเบียนและส่งไปปฏิบัติงานในพื้นที่ที่เหมาะสม RKK ได้เล่าให้ฟังว่าในการปฏิบัติการครั้งแรกจะเกิดความกลัว ยิ่งเมื่อปฎิบัติการเสร็จใหม่ๆ
กลัวเจ้าหน้าที่จะรู้ แต่สุดท้ายครูฝึกก็จะขู่ซ้ำจนต้องหลบช่อนตัวและต้องทำตามคำสั่งอยู่ตลอดเวลา
ถ้าถูกจับติดคุกถือว่าไปพักผ่อน และถ้าตายก็ได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าพิการพ่อแม่ญาติพี่น้องเท่านั้นที่จะต้องดูแลรักษากันเอง..
ตามยถากรรม
วันนี้จะเล่าถึงประชาชนมลายูในหมู่บ้านที่
BRN
ได้จัดตั้งไว้ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ด้วยกันคือ
กลุ่มที่1 เป็นกลุ่มที่เป็นสมาชิกของ
BRN
และ BAN ได้กำหนดให้เป็นผู้ทำการขับเคลื่อนงานปฏิวัติตามยุทธศาสตร์
5 ข้อที่ได้เล่าไปก่อนแล้ว ซึ่งมาจากหลากหลายอาชีพและทุกวัยของสังคมในพื้นที่ 3 จชต.
จะทำหน้าที่ต่อสู้กับรัฐไทย โดยมีนักศึกษาและครูโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเป็นแกนหลักในการสร้างประชาชนมลายูกลุ่มนี้ให้เป็นสมาชิกเรียกว่า
“มาชา” หรือ “มวลชน
BRN” จะป้องกันไม่ให้รัฐดึงมวลชนกลุ่มนี้ออกมาจากการเป็นสมาชิก
BRN โดยใช้ยุทธศาสตร์ป้องกันมวลชนดังที่กล่าวมาแล้ว
กลุ่มนี้มี 40%
กลุ่มที่ 2
คือกลุ่มคนมลายูที่ต้องการอยู่กับรัฐและต่อต้าน BRN ซึ่งมีน้อยมากเพราะมีความเสี่ยงในการดำรงชีวิตประจำวันวัน
และหาก BRN ทราบว่าคนเหล่านี้ต่อต้านก็จะถูกฆ่าเพราะถือว่าเป็น
“พวกโมนาฟิก” (ทรยศ) ฆ่าได้ไม่บาป
ได้แก่พวกข้าราชการมลายูผู้ปกครองท้องถิ่น ผู้ปกครองท้องที่ กลุ่มนี้จะถูกตรวจสอบอยู่เสมอว่าต่อต้าน
BRN หรือไม่ แต่ BRN ยินยอมให้มีอยู่ในหมู่บ้านได้ไม่เกิน
5%
กลุ่มที่ 3
กลุ่มนี้ไม่อยู่กับรัฐบาลและไม่อยู่กับ BRN อยู่เพื่อเอาตัวรอด
อยู่เพื่อความปลอดภัยอย่างเดียว เป็นกลุ่มที่มีความรู้ด้านศาสนาหรือด้านสามัญ และมีหน้ามีตาในสังคมเพราะรู้ดีว่าถ้าเข้ากับBRN
ก็จะถูกจับกุม ถ้าเข้ากับรัฐก็จะถูกฆ่า
ประชาชนกลุ่มนี้จะไม่ให้ตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับ BRN และ BRN ก็จะไม่ทำอันตรายใดๆ
ถ้าไม่ไปขัดขวางงานของ BRN กลุ่มนี้ BRN ให้มีในหมู่บ้านได้10%
กลุ่มที่ 4 กลุ่มนี้คือผู้ที่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลักได้แก่นักการเมือง
พ่อค้า นักุธุรกิจ เป็นกลุ่มที่ชอบฉกฉวยโอกาส ถ้ามีเหตุรุนแรงก็จะอยู่เงียบๆ
แต่ถ้ามีผลประโยชน์จะเคลื่อนไหว BRN ไม่ต้องการเอาเป็นสมาชิก แต่ถ้าหากไปอยู่กับฝั่งรัฐบาลก็จะถูกตักเตือนหรือถูกทำร้ายทันที
กลุ่มนี้จะรอโอกาสเคลื่อนไหวถ้าได้ผลประโยชน์
แต่ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ก็จะออกจากพื้นที่ทันที กลุ่มนี้ BRN ยอมให้อยู่ในหมู่บ้านได้
5%
กลุ่มที่ 5
คือกลุ่มประชาชนมลายูทั่วไปจะไม่รู้เรื่องราวของ BRN แต่อย่างใด
แต่รู้ว่าใครทำดีก็ดีด้วย ใครทำไม่ดีก็ไม่ดีด้วย BRN จึงหวงแหนประชาชนกลุ่มนี้และจะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปตีสนิท
เพราะถ้าประชาชนกลุ่มนี้ไปอยู่กับรัฐ งานปฏิวัติของ BRN จะทำได้ลำบากเพราะประชาชนกลุ่มนี้ก็เป็นเจ้าของพื้นที่และจะมีจุดยืนไปตามกระแสสังคม
เช่น BRN บอกว่าการต่อสู้กับรัฐเป็นเรื่องศาสนา พวกเขาก็ยอมรับ
แต่ถ้ารัฐมาทำความดีกับเขา พวกเขาก็ยอมรับ ดังนั้นประชาชนกลุ่มนี้ BRN จะมียุทธศาสตร์ป้องกันมวลชน ไม่ยอมเสียมวลชนกลุ่มนี้ไปอยู่กับรัฐ
เหมือนกลุ่มที่ 1
เพราะประชาชนมลายูกลุ่มนี้ เป็นต้นทุนสำรองมวลชนของ
BRNนั่นเอง ในแต่ละหมู่บ้านจะมี 40%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น