"ซอเก๊าะ นิรนาม"
เมื่อวันที่
8 พฤศจิกายน 2560 เหตุเจ้าหน้าที่ปะทะกับโจรใต้ที่มาหลบซ่อนตัวในบ้านหลังหนึ่ง
ซึ่งอยู่ในพื้นที่บ้านเจาะโบ ม.1 ต.แป้น อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายอยู่นั้น
ทราบจากเจ้าของบ้านว่ามีผู้ต้องสงสัยอยู่ในบ้าน จำนวน 2 คน
เจ้าหน้าที่ได้ทำการเจรจา
ซึ่งมีผู้นำศาสนาร่วมกันเกลี่ยกล่อมเพื่อให้เข้ามอบตัวนานกว่า 4 ชั่วโมง
แต่ผู้ต้องสงสัยกลับใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่จนเกิดการปะทะกันขึ้น
ในที่สุดคนร้ายเสียชีวิตทั้งคู่ในที่เกิดเหตุ ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ นายอาลียะ
อาหะแม และ นายกาดาฟี ตามะแซ
ในเวลาต่อมาสื่อแนวร่วมได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อกล่าวหาว่าเป็นการจัดฉากของเจ้าหน้าที่
ซึ่งได้มีการตั้งข้อสังเกตุจากภาพแม็กในตัวปืนแยกออกจากกัน
ในความเป็นจริงแล้วเป็นขั้นตอนการตรวจสอบอาวุธ โดยเจ้าหน้าที่ทำการถอดแม็กออกจากปืนเพื่อความปลอดภัย
และได้นำมาวางไว้เพื่อสะดวกในการเก็บหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และในที่เกิดเหตุโดยทั่วไปไม่มีใครรู้หรอก
ว่าแม็กเป็นของอาวุธปืนกระบอกไหนเมื่อทำการถอด
แต่ตามหลักสากลทั่วโลกสามารถใช้ร่วมกันอยู่แล้ว หากมองหลักความจริงคงไม่มีแค่กระสุน
2 แม็กหรอก จะต้องมีกระสุนและแม็กสำรองติดตัวไปด้วยเสมอ
นับวันการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างเว็บไซต์
และเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้ด้วยข้อมูลทั้งที่เป็นจริงและไม่เป็นจริงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดูจะมีการขยายตัวขึ้นอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะกับกลุ่มแนวร่วม
ของฝ่ายก่อเหตุรุนแรงได้มีการใช้ประโยชน์ด้วยการบิดเบือนข่าวสารที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งบางส่วนด้วยการนำเสนอด้านเดียวและการบิดเบือนทั้งหมดชนิดที่ว่าได้อ่านแล้วเกิดอาการสับสนว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เคยสงบสุขมาช้านานแห่งนี้ได้อย่างไร?
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังปรากฎเงื่อนไขสนับสนุนจากความแตกต่างที่เป็นตัวเร่งให้เกิดเหตุรุนแรงซึ่งมีความเปราะบางเช่นจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้
ด้วยความที่เป็นสื่อที่สามารถนำส่งข่าวสารที่รวดเร็ว
และสร้างการรับรู้ได้อย่างที่วันนี้อาจเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด
ทำให้องค์กรหรือบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐซึ่งมีที่ตั้งอยู่ทั้งภายในและนอกประเทศต่างร่วมกันนำเสนอและบิดเบือนข่าวกันอย่างมากมายทั้งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความแตกแยกภายในประเทศและสร้างความเข้าใจผิดไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมที่ให้การสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงได้รับรู้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
ด้วยหวังผลอย่างที่กล่าวข้างต้น
จากการเฝ้าติดตามการต่อสู้ด้วยสงครามข่าวสารอย่างฝุ่นตลบของข้างฝ่ายขบวนการเมื่อไม่กี่วันมานี้ได้พบข้อมูลการบิดเบือนอย่างน่ารังเกียจของเวบเพจเฟสบุ๊คแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเพจคู่ขนานของเว็บไซต์
www.suara-ampera.com
ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการว่าบิดได้ชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าชื่อเพจ www.facebook/
Suara
Patani ที่ทุกคนดูอย่างไรก็รู้ว่าเป็นการทำขึ้นโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเดียวกัน
และได้นำเสนอมาในหลายเรื่องหลายประเด็น
แต่ผู้เขียนอยากจะขอยกตัวอย่างการบิดเบือนซักหนึ่งตัวอย่างเพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณากัน
เพจดังกล่าวได้นำเสนอข่าวสารในภาษามาเลเซียเกี่ยวกับจำนวนตัวเลขในการนำกำลังทหารเข้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ของรัฐบาลไทยว่ามีจำนวนถึงกว่าหกหมื่นคนเข้าประจำการในพื้นที่
รวมทั้งการฝึกอาสาสมัครชาวไทยพุทธอีกถึงแปดหมื่นคน
ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก
เพราะเป็นการนำตัวเลขทั้งของกำลังประจำพื้นที่และเจ้าหน้าที่ในส่วนของฝ่ายพัฒนาซึ่งเป็นพลเรือนเข้ามารวมด้วย
ในความเป็นจริงทหารที่เดินทางมาจากนอกพื้นที่นั้นมีเพียงประมาณสองหมื่นเก้าพันคนและกำลังทยอยถอนกำลังออก
ในส่วนของอาสาสมัครชาวไทยพุทธนั้นก็จัดการฝึกให้เฉพาะในชุมชนไทยพุทธที่มักตกเป็นเป้าหมายในการลอบทำร้ายจากขบวนการที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ
ซึ่งขณะนี้มีเพียงไม่กี่ชุมชนเท่านั้น
ด้วยว่าจำนวนไทยพุทธในพื้นที่กำลังลดจำนวนลงทุกวันจากการถูกข่มขู่คุกคามให้อพยพออกจากพื้นที่
นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจริงที่คาดว่าผู้ดูแลเว็บเพจนี้ก็รับรู้
แต่ยังมีเจตนาบิดเบือนเพื่อสร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่าพี่น้องมุสลิมในพื้นที่กำลังถูกคุมคามจากทหารและชาวไทยพุทธ
ซึ่งหลายๆ ประเทศกำลังจับตามองและมีความเข้าใจสถานการณ์ดีว่าขณะนี้เรื่องจริงๆ
เป็นอย่างไร
และแน่นอนว่าหมายความรวมถึงองค์กร Human Right
Watch (HRW) ซึ่งเว็บเพจนี้ระบุว่าส่วนใหญ่
ชาวมลายูมุสลิมจะถูกลักพาตัวไปทรมานและฆ่าโดยทหารภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน
และกฎหมายพิเศษอื่นๆ โดยทหาร ที่กระทำไม่ต้องถูกลงโทษ ทั้งๆ ที่ Human
Right Watch เองเพิ่งจะประณามการทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ครู
และเด็กเล็กของกลุ่มที่มีความพยายามแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทยเมื่อไม่นานมานี้
ซึ่งเพจนี้ไม่เคยหยิบมานำเสนอเพราะเป็นเรื่องจริง
การใช้กำลังทหารและการฝึกอาสาสมัครรวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายพิเศษนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว
เป็นการตอบสนองความต้องการในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ของประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการสันติสุข
เพราะมาตรการทั้งหมดนั้นไม่ได้กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน
คงมีเพียงผู้ที่มุ่งร้ายต่อสังคมเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
เพราะไม่สามารถก่อเหตุร้ายได้สะดวก และหากมีเบาะแสเจ้าหน้าที่ก็สามารถเชิญไปพูดคุย
ได้ตามกรอบของกฎหมายหากพบว่าไม่เกี่ยวข้องก็ปล่อยตัวไป
โดยสรุปคือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์จากการใช้บังคับใช้กฎหมายพิเศษนี้
แต่น่าแปลกที่ยังมีบุคคลบางกลุ่มที่บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรง
แต่ก็เห็นสนับสนุนกันดีอย่างไม่น่าจะเป็น
ทั้งยังช่วยเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษรวมทั้งโจมตีเจ้าหน้าที่ในทุกเรื่องทั้งๆ
ที่หลายเรื่องเกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่มากมาย
ออกมาโวยวายมากๆ
เดี๋ยวคนอื่นเค้าหาว่าเป็นโจรไม่รู้ด้วยนะ!!! หรือจะยอมรับว่าเป็น...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น