"สหายท่านหนึ่ง"
เชื่อเหลือเกินว่าผู้ที่ขับรถไปทำธุระอำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา ขากลับเมื่อเดินทางกลับมาตามเส้นทางถนนหมายเลข 42 เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะเห็นป้ายข้อความถาวรขนาดใหญ่
เกี่ยวกับ “ดินแดนลังกาสุกะ”
มีทั้งป้ายต้อนรับของจังหวัดปัตตานีตรงทางหลวงดังกล่าว อีกทั้งบริเวณสามแยกเข้าเมือง
และในพื้นที่อื่นๆ จะมีป้ายคำว่า “ลังกาสุกะ” เพื่อให้คน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมากว่า 1,800 ปี ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมอันกว้างใหญ่ในแหลมมายูแห่งนี้
แต่เมื่อป้ายดังกล่าวได้ขึ้นมาสักระยะหนึ่ง
เริ่มมีคนบางกลุ่มออกมาตีโพยตีพายและต่อต้าน ข่าววงในมีการเปิดเผยว่ามีการดำเนินการกันอย่างเงียบๆ
เพื่อเอาคำว่า “ลังกาสุกะ” ออกจากป้ายประชาสัมพันธ์จังหวัดปัตตานี
แม้แต่อาจารย์ท่านหนึ่งที่มีดีกรีระดับ “ดร.” ที่มีความรอบรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์แหลมมายู ผู้ซึ่งผลักดันและให้ความสำคัญของคำว่า
“ลังกาสุกะ” และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการในการหารือเรื่องการขึ้นป้ายในจังหวัดปัตตานี
เพื่อให้คน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของตนเอง
แต่เมื่อมีการปลดป้ายออก
“ดร.” ได้กล่าวกับผมว่า “เขาแอบดำเนินการ
แอบประชุมกัน โดยไม่หารือ หรือไถ่ถามความเห็นกับคนที่ริเริ่มเลยสักคำ”
เมื่อทำการปลดป้ายที่มีข้อความที่มีคำว่า
“ลังกาสุกะ”ออก การปลุกกระแส ในการใช้วาทกรรม ในการใช้คำว่า
“ปาตานี” เริ่มแรกโดยการแอบแทรกซึมอยู่ในบทความ
“หัวข้องาน” หรือใน กิจกรรมเล็กๆ
หรือเวทีเสวนาของคนบางกลุ่มในพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเริ่มแพร่ขยายสู่วงกว้างในสังคมโดยการนำเสนอของสื่อต่างๆ
มิเว้นแม้กระทั่งกลุ่ม “มาราปาตานี” ซึ่งเป็นตัวแทนทีมพูดคุยของกลุ่มคิดต่างที่ทำการก่อเหตุในพื้นที่
6 กลุ่ม ยังโหนกระแสและนำคำว่า “ปาตานี” มาใช้เป็นชื่อกลุ่ม
เมื่อทำการศึกษาของคำว่า
“ปาตานี” คำคำนี้มีการตัดตอนประวัติศาสตร์เอาแค่ยุครุ่งเรืองสุดซึ่งเคยผ่านมาแค่
400 กว่าปี ทั้งๆ ที่ “อาณาจักรลังกาสุกะ” มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน 1800 กว่าปี พฤติกรรมของคนบางกลุ่มเพื่ออะไร?
ไม่ใช่เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมของผู้คนในพื้นที่หรอกหรือ? เพราะนำชื่อเมืองเก่าที่ชื่อ
“ปัตตานี” หรือ “ปตานี” มาใช้เพื่อหาผลประโยชน์ชี้ให้เห็นว่าในพื้นที่แห่งนี้มีกลุ่มคนแค่เพียงชาติพันธุ์เดียวเท่านั้น
โดยไม่สนใจประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้นว่ายังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ อีกหลายกลุ่มที่อยู่อาศัยดั้งเดิมในพื้นที่มาอย่างช้านาน
และนี้คือตัวบ่งชี้
#วาทะกรรม# ซึ่งเป็นแผนการที่มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน
มีความพยายามแยกเค้าแยกเรา แบ่งแยกผู้คนด้วยเชื้อชาติและศาสนา ต้องการสร้างความหวาดระแวง
ก่อเกิดอคติ และเกลียดชังต่อกันแค่นับถือศาสนาต่างกัน
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดภาคใต้แบ่งออกเป็น
2
ส่วนด้วยกัน กล่าวคือส่วนที่ใช้กำลัง ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม ด้วยการลอบวางระเบิด
ลอบยิง กระทำความรุนแรงทุกรูปแบบอันจะนำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน
อีกส่วนหนึ่งคือการดำเนินการทางความรู้สึก การสร้างมวลชนร่วม
ซึ่งมีการปลูกฝังใส่ความรู้สึกร่วม ความเป็นพวก เชื้อชาติ ศาสนา
การไม่ได้รับความเป็นธรรมและไม่เท่าเทียมในสังคม ฝังรากลึกในสมอง
จนกระทั่งกลุ่มคนเหล่านี้มีเห็นผิดเป็นชอบ เกิดความอคติต่อรัฐ ต่อผู้คนต่างศาสนา
ไม่ยอมรับ ไม่ให้ความร่วมมือ ต่อต้าน
พฤติกรรมเหล่านี้ผู้ที่คลุกคลีทำงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ย่อมทราบดี
ซึ่งท่าทีและความร่วมมือในด้านต่างๆ ชัดเจนมันฟ้องด้วยเหตุและผลอยู่ในตัวเอง
คือการไม่ยอมรับ ตรงนี้เราไม่สามารถบังคับความรู้สึกได้เลย การให้การศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง
การสร้างความรู้สึกร่วมการเป็นพลเมืองแห่งรัฐ รวมไปถึงการแยกแยะถูกผิด
สร้างจิตสำนึก เปิดเผยประวัติศาสตร์ที่เป็นความจริง อาจจะทำให้คนในพื้นที่ยอมรับรัฐได้มากขึ้น
แต่หากไม่อธิบาย เมินเฉยอีกทั้งตั้งแง่แบ่งข้าง
ก็เข้าทางกลุ่มขบวนการในการแย่งชิงมวลชน ที่สำคัญรอยบาดแผลแห่งความทรงจำจากความขัดแย้งต่างๆ
ก็ยังคงอยู่ปัญหาก็ยากที่จะยุติ.
--------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น