หน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของไทยได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
ในการปราบปรามแก๊งค์ค้ายาเสพติดข้ามชาติ ที่ผ่านทางใต้ลงไปมาเลเซีย
ซึ่งพลเอกอุดมเดช สีตบุตร
ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า
มีความเป็นไปได้ที่ผู้ก่อความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
มีส่วนในประโยชน์การทำผิดกฎหมายนี้ เพื่อเติมเชื้อไฟให้แก่สถานการณ์รุนแรงในภาคใต้
“เรื่องนี้
มองว่าเป็นไปได้ที่ผู้ก่อเหตุใช้ประโยชน์จากการทำผิดกฎหมายเหล่านี้
เราควรต้องกวดขันสิ่งเหล่านี้ต่อไป ต้องพยายามดูแล
เพราะเป็นส่วนเกี่ยวข้องกับการหาเงิน
รับจัดหาที่ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในพื้นที่” พลเอกอุดมเดช สีตบุตร
กล่าวแก่เบนาร์นิวส์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
พลเอกอุดมเดช
ได้กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ที่กองพลทหารราบที่ 15 ในอำเภอหนองจิก ปัตตานี
หลังจากที่ทางกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้จับกุมตัวไซซะนะ แก้วพิมพา
นักค้ายารายใหญ่ชาวลาว ไปเมื่อวันที่ 19 มกราคม ศกนี้
และได้ขยายผลการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นนักค้ายาในมีความเชื่อมโยงกัน
รวมอย่างน้อย 11 ราย
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สมหมาย
กองวิสัยสุข ผบช.ปส. ได้กล่าวในการแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ นี้ ว่า “ที่เราจับนี่คือผึ้งอีกรังนึง
ไซซะนะคือผึ้งรังนึง อันนี้คือผึ้งทางใต้ ไม่ต้องกังวล นี่คือเด็กๆ
ยังมีใต้ดินอีกเยอะมาก เราจะค้นให้เจอ”
ในก่อนหน้านั้น พล.ต.ท.สมหมาย
ได้กล่าวแก่สื่อมวลชนว่า ทางการไทยได้ติดตามนายไซซะนะ มาประมาณห้าปี
ก่อนที่จะสามารถจับกุมตัวได้โดยทางการลาวให้ข้อมูลมาโดยตลอด
ทั้งนี้ ในวันที่ 19 มกราคม ตำรวจปราบปรามยาเสพติดและสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
ร่วมกันจับกุมตัวนายไซซะนะ ได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในกรุงเทพฯ
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ออกตรวจค้นเป้าหมายต่างๆ อีกหลายแห่ง
จึงสามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้อีก 3 ราย คือ นายชุมพร พนมไพร
ในจังหวัดอุดรธานี นายปุ่น ชรินทร์ ในจังหวัดสกลนคร และนางสาวอ้อยทิพย์ ปัญญารักษ์
จังหวัดสกลนคร พร้อมยึดทรัพย์เป็นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงินฝาก และอื่นๆ
มูลค่ารวมกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท
ปัจจุบัน นายไซซะนะ
ถูกฝากขังในระหว่างการสอบสวน ในเบื้องต้นได้สารภาพตลอดข้อหา ส่วนทางการลาวได้ยึดทรัพย์สินนายไซซะนะ
เป็นบ้านหรูห้าหลัง สวนยางพารากว่า 1,200 ไร่ รถยนต์หรู 9 คัน
ทั้งยังมีความใกล้ชิดกับกลุ่มไฮโซทั้งลาวและไทย เช่น นายอัครกิตติ์
วรโรจน์เจริญเดช หรือ “เบ๊นซ์ เรซซิ่ง” สามีดาราสาวของไทยคนหนึ่ง
และล่าสุด เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ได้จับกุมนางสาวบุหลัน
ธารีสืบ และนายจิตรภานุ แซ่เฮง ขณะขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์
ได้ที่ในนาหม่อม จังหวัดสงขลา ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ยึดทรัพย์สิน จำนวน 65 รายการ มูลค่ารวม 68 ล้านบาท
จากการสืบสวนพบว่า นางสาวบุหลัน ธารีสืบ
ภรรยาของ นายมามะรุสลัน ดรอแม และบุคคลในเครือข่าย
ยังมีการดำเนินการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดมาโดยตลอด
และได้นำเงินพร้อมทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติดซุกซ่อนไว้
ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
นายศิรินยาทร์ สิทธิชัย เลขาธิการ ปปส.
กล่าวว่า นางสาวบุหลัน เป็นภรรยาขอ งนายมามะรุสลัน ดรอแม นักค้าชาวไทย
ที่โดนตำรวจปราบปรามยาเสพติดมาเลเซียจับกุมตัวพร้อมกับนายซูลคิฟิ บิน อิบราฮิม
ชาวมาเลเซีย พร้อมยาบ้า 70,000 เม็ด ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2557 ทั้งสองถูกศาลมาเลเซียตัดสินจำคุก 5 ปี 4 เดือน
ส่วนในประเทศมาเลเซีย นายโมฮัด มุกตาห์ โมฮัด
ชารีฟ ได้กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวเบนาร์นิวส์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
เจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดของมาเลเซียสามารถจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดได้
รวม 5
ราย เป็นคนมาเลเซีย 4 ราย และเป็นคนไทย 1 ราย ในกลันตันทั้งหมด
ถูกตั้งข้อหาค้ายาเสพติดที่มีผลต่อจิตประสาท
แต่ไม่ได้ระบุชื่อคนไทยให้ชัดเจนว่าชื่ออะไร
พล.ต.ท.สมหมาย กล่าวว่า หนึ่งในผู้ต้องหา 5 รายนั้น คือ นายกามารุดิน บิน อาวัง (Kamarudin
Bin Awang) หรืออีกชื่อหนึ่ง
คือ นายไซนุเด็ง มะ ซึ่งเป็นลูกเขยของ นาย มะรินิง จาโก
หัวหน้าเครือข่ายยาเสพติดจากทางภาคเหนือและภาคอิสาน
ที่เจ้าหน้าที่ได้คอยติดตามความเคลื่อนไหวมาหลายปีเช่นกัน ซึ่งทาง พล.ต.ท.สมหมาย
กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไทยต้องการที่จะสอบปากคำ นายกามารุดิน บิน อาวัง ด้วยเช่นกัน
สำหรับเครือข่ายยาเสพติดที่เชื่อมโยงกันนี้
ยังมีผู้ต้องหาสำคัญเป็นคนนราธิวาส ที่หลบหนีไปอยู่ในประเทศลาว ตั้งแต่ปี 2555 โดยทางการไทยตั้งค่าหัว 2 ล้านบาท คือ นายอุสมาน สแลแมง
ซึ่งเป็นหัวหน้าเครือข่ายของ นายมามะรุสลัน ดรอแม สามีของนางสาวบุหลัน ธารีสืบ
อีกชั้นหนึ่ง
เชื่อมโยงกับความรุนแรงในชายแดนใต้หรือไม่
ผู้อำนวยการชุดปฏิบัติการพิเศษภัยแทรกซ้อน
สำนักข่าวกรอง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวเมื่อปีที่ผ่านมาว่า
ปัญหาจากภัยแทรกซ้อนในพื้นที่ ทั้งขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ขบวนการค้ายาเสพติด
บ่อนการพนัน สินค้าหนีภาษี เป็นต้น
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ โดย 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องของอุดมการณ์
และ 20
เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องของขบวนการธุรกิจมืด ซึ่งมีเงินหมุนเวียนถึงเดือนละ 500-1,000 ล้านบาท
ในเรื่องนี้ พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์
อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวของศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กล่าวว่า
ยาเสพติดเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงในภาคใต้
ขบวนการค้ายาเสพติดจะสนับสนุนการเงินให้กับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
เพื่อสร้างสถานการณ์รุนแรงที่เป็นการขัดขวางการตรวจจับของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
รวมทั้งนำเงินที่ได้ไปใช้ซื้อหาวัสดุอุปกรณ์การก่อเหตุ เพื่อใช้ในการปฏิบัติ
เพื่อวัตถุประสงค์ในการแบ่งแยกดินแดนของตน
“ถ้ารัฐบาลตัดเรื่องยาเสพติดออกไปได้
เท่ากับว่าแก้ไขปัญหาไฟใต้ไปได้ 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าสามารถตัดเงินทุนในการปฏิบัติการออกไปได้
ประการที่สอง จะไม่มียาเสพติดถึงมือเยาวชน
ทำให้ไม่ล่อแหลมต่อการถูกหลอกให้เข้าสู่ขบวนการก่อความไม่สงบ” พลโทนันทเดช กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
ด้าน พล.ต.ท.สมหมาย
กล่าวแก่สื่อมวลชนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ทุกครั้งที่มีการระดมจับยาเสพติด ความรุนแรงในภาคใต้จะลดลงอย่างไร
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ยิงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลปิยามุมัง ปัตตานี
และรายอื่นๆ อีกสามราย ในยะลา และนราธิวาส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น