29 สิงหาคม 2560

ใคร? หลอกให้ “นูร์ฮาซัน” ไปตาย!!

"แบมะ ฟาตอนี"


“ความตาย” มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่สามารถหลีกหนีพ้น จุดจบ..อาจจะต่างกันซึ่งบางคนอาจจะยังไม่ถึงวัยอันควรก็มีอันเป็นไปไม่มีวันหวนกลับ..ทั้งนี้และทั้งนั้นอยู่ที่การครองตนเลือกทางเดินชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง

“ความตาย” ของ นายนูร์ฮาซัน อาแว วัยเพียง 27 ปี ยังไม่ถึงที่ตายกลับต้องมาตายเพียงเพราะหลงเชื่อ “ขบวนการ”
 
ย้อนกลับไปเหตุการณ์คนร้าย 10 คน ปล้นรถยนต์ปิกอัพ 7 คัน เพื่อนำมาประกอบระเบิด “คาร์บอม” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา นายนูร์ฮาซัน อาแว ได้ขับรถยนต์ที่ปล้นมาจาก “ร้านวังโต้คาร์เซนเตอร์” ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายรถยนต์มือสองในอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ประกอบระเบิดพร้อมถังน้ำมันขับฝ่าด่านเพื่อกลับมาก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดปัตตานี แต่ถูกเจ้าหน้าที่ไล่ล่าเกิดการปะทะถูกวิสามัญดับ

จากข้อมูลเชิงลึกของหน่วยข่าว นายนูร์ฮาซันฯ ไม่มีรายชื่อในสารบบของกลุ่มขบวนการ อาจจะเป็น “กลุ่มแนวร่วมรุ่นใหม่” ที่แกนนำต้องการทดสอบกำลังใจ และแสดงความกล้าหาญของตนเองเพื่อต้องการแสดงตัวตนให้เกิดการยอมรับจากขบวนการ

สิ่งที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ คือ “การตาย” ของนาย นูร์ฮาซัน อาแว กลุ่มแนวร่วมผู้ก่อเหตุรุนแรง ที่เสียชีวิตจากการปะทะ กลับถูกยกย่องเป็น “วีรบุรุษ” สมเกียรติที่ตายแบบ “ซาฮีด” ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการฆ่ามนุษย์เป็นสิ่งที่น่ายกย่องไปได้อย่างไร “อิสลาม” คือ “สันติ”แต่กลับนิยมความรุนแรงมันเกิดอะไรขึ้นกับมุสลิมบางกลุ่มในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “การฆ่าคน” คือสิ่งที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ? ทั้งๆ ที่ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเกรงกลัวต่อบาป การฆ่าคนผิดหลักศาสนาและยังผิดกฎหมายบ้านเมืองอีกด้วย ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ต้องการสันติสุขจริงหรือ? เหตุใดถึงไม่ต่อต้านความรุนแรงในพื้นที่ทั้งทางตรงและทางอ้อม เหตุการณ์ความรุนแรง 14 ปี ยังไม่พอหรืออย่างไร?

“ไฟใต้” ได้เผาผลาญทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตลอดระยะเวลา 14 ปี ได้สร้างความเสียหายที่ไม่อาจประเมินค่าได้ “ไฟใต้” ได้ถูกจุดขึ้นเมื่อต้นปี พ.ศ.2547 ซึ่งในขณะนั้นนายนูร์ฮาซัน อาแว ผู้เสียชีวิตมีอายุแค่เพียง 13 ปี ยังไม่นับรวมผู้ก่อเหตุอีกหลายรายที่ถูกจับกุมบ้างยังเรียนอยู่ในระดับประถมอายุแค่ไม่กี่ขวบ แต่ในวันนี้เด็กในวันนั้นกลับมาทำการก่อเหตุเข่นฆ่าผู้คน นี่คือ ผลผลิต ความชั่วที่กลุ่มขบวนการได้ปลูกเอาไว้ได้เวลาผลิดอกออกผล

แต่ที่เป็นประเด็นใหม่ที่มีการเปิดขึ้นมา นายมารูดิง อาแว บิดาของ นายนูร์ฮาซัน อาแว กล่าวว่า รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า ลูกจะเลือกใช้วิธีรุนแรง เพราะที่ผ่านมาลูกไม่เคยเกเร มุ่งแต่เรียน ทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง และส่งเสียตัวเองจนจบปริญญาตรี ไม่เคยรบกวนพ่อแม่

เมื่อบุคคลใกล้ชิดออกมายืนยันอย่างนั้น กับการตายของนายนูร์ฮาซันฯ ย่อมมีเงื่อนงำ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความรู้ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เคร่งศาสนา จะมองสาเหตุที่เข้าร่วมปฏิบัติการกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงอาจจะมาจาก 2 สาเหตุด้วยกัน

ประการแรกเนื่องจาก นายนูร์ฮาซันฯ เป็นผู้ที่เคร่งในเรื่องศาสนา อาจจะถูกหลอกให้เข้าร่วมโดยใช้การบิดเบือนหลักคำสอนนำไปสู่การกระทำพิธีสาบานตน (ซุมเปาะฮ์) ให้ลงมือปฎิบัติการ

ประการที่สอง นายนูร์ฮาซันฯ ถูกข่มขู่จากแกนนำในพื้นที่หมายเอาชีวิตคนในครอบครัวเป็นตัวประกัน หากไม่กระทำตาม ต้องตาย ทั้งบ้าน อีกทั้งเบื้องลึกในละแวกบ้านเคยมีคนร้ายทำการก่อเหตุกราดยิงร้านน้ำชา จนมีผู้บาดเจ็บหลายราย และหนึ่งในนั้นมี นายมารูดิง อาแว บิดาของ นายนูร์ฮาซันฯ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเราจะต้องเฝ้าดูกันต่อไป

ฝากไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองคอยสอดส่องดูแลบุตรหลานในความดูแลของท่าน อย่าให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มขบวนการ ซึ่งหากเข้าสู่วังวนความชั่วเมื่อไหร่จุดจบคือ “ไม่ตายก็ติดคุก” ต้องหมดสิ้นอนาคต ดั่งเช่นกรณี “ความตาย” ของนายนูร์ฮาซันฯ ก่อนลงมือก่อเหตุแกนนำสั่งการรู้ทั้งรู้ว่า นายนูร์ฮาซันฯ “ต้องตาย” กลับเดินหน้าสั่งการให้ลงมือปฏิบัติตามแผนชั่วที่วางไว้ โดยไม่แยแสต่อชีวิตผู้อื่นเหมือน “กำหนด” ให้ไปตาย โดยที่แกนนำสั่งการเสวยสุขอยู่เมืองนอกอยู่อย่างสุขสบายใช้ชีวิตติดหรู...แล้วบรรดาสมาชิกที่เป็นมือเป็นเท้าละ!!..ได้อะไร?

----------------

22 สิงหาคม 2560

ศาลออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหาปล้นรถทำคาร์บอม ล่าสุดรวบผู้ต้องสงสัย 3 รายในพื้นที่ยะรัง


 จากกรณีคนร้าย 6 - 7 คน พร้อมอาวุธครบมือ ก่อเหตุปล้นเต็นท์รถมือสองในพื้นที่ อ.นาทวี จ.สงขลา จำนวน 7 คัน เพื่อติดตั้งระเบิดทำคาร์บอมบ์ นำไปก่อเหตุในพื้นที่ จ.ปัตตานี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสามารถติดตามรถที่ปล้นคืนมาได้ครบทั้ง 7 คัน โดยมี 2 คัน ถูกนำไปก่อเหตุคาร์บอมบ์แล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 22 ส.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปัตตานี ว่า พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผบ.ฉก.ปัตตานี นำกำลัง 3 ฝ่าย รวมทั้ง ฉก.ทหารพรานที่ 43 เข้าปิดล้อมตรวจค้นในหลายพื้นที่ที่คาดว่าเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ปล้นรถยนต์ที่ อ.นาทวี จ.สงขลา โดยไล่ล่ากดดันกลุ่มคนร้าย ทั้งพื้นที่ อ.ยะรัง ซึ่งเป็นจุดที่มีการปล้นรถยนต์จุดแรก และทำการขยายผล โดยตรวจจากเครื่องเทคโนโลยี  กล้องวงจรปิด และความร่วมมือ จากผู้มอบตัวในโครงการพาคนกลับบ้าน ทำการขยายผล อ.หนองจิก อ.โคกโพธิ์ ซึ่งเป็นจุดที่ขนระเบิด และซุกซ่อนระเบิด นำไปประกอบระเบิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว 3 คน พร้อมนำตัวไปยังศูนย์ซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี


นอกจากนี้ มีรายงานว่า กำลัง 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ฉก.ทพ.43 , ฉก.ทพ.22 , ตำรวจสภ.ยะรัง จ.ปัตตานี และตำรวจชุดสืบสวนคดีสำคัญ จ.ปัตตานี ได้สนธิกำลังปิดล้อมตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่บ้านสิเดะ หมู่ 2 ต.สะดาวา อ.ยะรัง จ.ปัตตานี  สามารถควบคุมตัว นายมะรอยี  อายุ 30 ปี ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกผู้ก่อการร้ายระดับปฏิบัติการของกลุ่มอาร์เอเค และได้ร่วมก่อเหตุปล้นรถยนต์ที่เต้นท์จำหน่ายรถยนต์มือสองในพื้นที่ อ.นาทวี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวมาจัดเก็บสารพันธุกรรม(ดีเอ็นเอ) , พิมพ์ลายนิ้วมือ และลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ยะรัง เพื่อใช้เป็นหลักฐาน จากนั้นได้นำตัวส่งศูนย์ซักถาม ฉก.ทพ.43 เพื่อดำเนินกรรมวิธีซักถามขยายผล


ส่วนความคืบหน้าของคดี เมื่อ 21 ส.ค.2560 ศาลจังหวัดนาทวี และศาลจังหวัดปัตตานี ได้อนุมัติหมายจับคนร้ายที่ปล้นรถไปเพื่อไปประกอบระเบิดจำนวน 6 คน ในความผิด 11 ข้อหาโดยทั้งหมดเป็นสมาชิกแนวร่วมก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งเป็นคนเก่าและคนใหม่มีประวัติการก่อเหตุมาแล้วหลายคดี  ซึ่งประกอบด้วย 1) นายบูคอรี หลำโสะ 2) นายสุไลมาน  สาเหมาะ 3)นายรอซาลี  หลำโสะ 4) นายซารีซานฮัมรี  ดือราแม  5) นายอับดุลเลาะห์  มะแด และ6) นายอัตนันท์ สาอิ

ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ มีประวัติเคยกระทำความผิด และถูกออกหมายจับค้างเก่า ดังนี้ นายบูคอรี หลำโสะ มีหมายจับ 4 หมาย นายสุไลมาน สาเหมาะ มีหมายจับ 6 หมาย  และ นายรอซาลี หลำโสะ หมายจับ พ.ร.ก.ศาล จว.ปัตตานี ฉฉ.ที่ 149/57 ลงวันที่ 4 พ.ย.57

สำหรับอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลางที่ยึดได้ ตรวจสอบพบว่า อาวุธปืนที่ใช้ยิงนายสหรัฐถึงแก่ความตาย คนร้ายใช้ก่อเหตุมาแล้ว 21 ครั้ง (ตั้งแต่ปี 2551) และอาวุธปืนที่นายนูร์ฮาซันใช้ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนร้ายเคยใช้ก่อเหตุมาแล้ว 3 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าคนร้ายมีประวัติในการก่อเหตุคดีร้ายแรงหลายคดี ขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ช่วยแจ้งเบาะแสกลุ่มคนร้าย ซึ่งปรากฎในภาพแจ้งให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทราบโดยทันที  เพื่อจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายและสามารถลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการกระทำของคนร้ายกลุ่มนี้ต่อไป.

19 สิงหาคม 2560

สื่อแนวร่วมเงียบเมื่อโจรมุสลิมฆ่ามุสลิมเหตุปล้นเต็นท์รถทำคาร์บอม


หลังจากเหตุการณ์ นาย นูร์ฮาซัน อาแว กลุ่มแนวร่วมแบ่งแยกดินแดนกับพวกปล้นรถจากร้านรถมือสองใน อ.นาทวี จ.สงขลา ยิงนายสหรัฐ แหละหนิ๊ พนักงานมุสลิมในร้านเสียชีวิต และยิงนายประทานพร นวลละมุล บาดเจ็บ จากนั้นนายนูร์ฮาซันฯ และพวก ขับรถติดตั้งระเบิดคาร์บอมระเบิดเจ้าหน้าที่ทหาร 1 จุด ระเบิดบ้านพักตำรวจ 1 จุด นายนูร์ฮาซันถูกยิงเสียชีวิตจากการสกัดของเจ้าหน้าที่ พบระเบิดน้ำหนัก 80 กก.
สื่อมุสลิมในพื้นที่เลือกที่จะเงียบไม่พูดถึงเหตุการณ์นี้ทั้งที่ผู้เสียชีวิตเป็นมุสลิม เพราะกลัวเสียมวลชนมุสลิมในพื้นที่ เพราะแนวร่วมมุสลิมแบ่งแยกดินแดนสังหารพนักงานมุสลิม เห็นได้ชัดว่ากลุ่มแนวร่วมมุสลิมแบ่งแยกดินแดนนั้นสามารถสังหารคนบริสุทธิ์ได้แม้กระทั่งคนในศาสนาอิสลามด้วยกัน นี้ไม่ใช่การทำญิฮาดหรือสงครามศาสนาอย่างที่กลุ่มแนวร่วมมุสลิมแบ่งแยกดินแดนอ้าง ผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังแบ่งแยกดินแดนสำคัญกว่าเรือนร่างเดียวกัน และหลายครั้งกลุ่มมุสลิมแบ่งแยกดินแดนผลักไสให้เจ้าหน้าที่มุสลิมหรือมุสลิมที่ทำงานให้รัฐเป็นมุนาฟิก (ผู้กลับกรอก) อยู่ในสถานะเดียวกับคนไทยซึ่งเป็นกาเฟรหัสบีย์ (คู่สงครามกับอิสลาม)
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ คือการตายของนาย นูร์ฮาซัน อาแว กลุ่มแนวร่วมมุสลิมแบ่งแยกดินแดน ที่เสียชีวิตจากการปะทะ กลับถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษสมเกียรติที่ตายแบบซาฮีด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการฆ่ามนุษย์เป็นสิ่งที่น่ายกย่องไปได้อย่างไร อิสลามคือสันติแต่กลับชื่นชอบความรุนแรงมันเกิดอะไรขึ้นกับมุสลิมบางกลุ่มในพื้นที่ การฆ่าคนคือสิ่งที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?
คาร์บอมคันแรกถูกจัดวางหมายสังหารทหารแพทย์ บาดเจ็บ 4 นาย คาร์บอมคันที่สองเตรียมการสังหารครอบครัวตำรวจ ซึ่งมีผู้หญิงและเด็กหลับอยู่ในบ้านพักตำรวจ
ประชาชนในพื้นที่หวังสันติสุขจริงหรือ? เหตุใดถึงไม่ต่อต้านความรุนแรงในพื้นที่ทั้งทางตรงและทางอ้อม เหตุการณ์ความรุนแรง 14 ปี ยังไม่พอหรืออย่างไร? ครั้นเจ้าหน้าที่ทำงานผิดพลาดออกประนามเจ้าหน้าที่รัฐมากมาย แต่ครั้นที่มุสลิมหัวรุนแรงลงมือก่อเหตุรุนแรงกลับเงียบเพราะเป็นมุสลิมด้วยกันอย่างนั้นหรือถึงไม่กล้าประนาม ต้องแยกแยะให้ได้ไหนมุสลิม ไหนมุสลิมหัวรุนแรง ไม่เช่นนั้นปัญหาก็ไม่มีวันจบ พอเจ้าหน้าที่วิสามัญคนร้ายได้ก็เครียดแค้นเจ้าหน้าที่และปลุกระดมว่าเจ้าหน้าที่รัฐรังแกมุสลิม คุณคิดว่าญาติพี่น้องเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บไม่เครียดแค้นพวกคุณหรอ คุณเครียดแค้นเป็นกลุ่มเดียวหรืออย่างไร? และกลับกันหากไม่วิสามัญคนร้ายระเบิดในรถอาจทำให้คนเสียชีวิตอีกจำนวนมาก จะมีคนตายอีกมาก พอรถหลุดไปได้ก็ด่าเจ้าหน้าที่ว่าหลุดได้อย่างไร ถามว่าคุณเคยให้ความร่วมกับเจ้าหน้าที่หรือไม่ คุณบอกว่าเจ้าหน้าที่อคติกับคนในพื้นที่ และคุณหยุดอคติกับคนไทยหรือยัง? คำว่าสันติสุขของคุณคือแบ่งแยกดินแดน ส่วนของเราคืออยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสุดท้ายขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกนายและประชาชนในพื้นที่ที่ช่วยแจ้งเบาะแส ทำให้สถานการณ์ไม่รุนแรงไปมากกว่านี้.

คุณได้อ่านทั้งหมดแล้วคุณรู้ความถูกผิดดีจากนี้อยู่ที่คุณเลือกจะไปเส้นทางไหนถึงจะพบสันติสุขที่แท้จริง..

16 สิงหาคม 2560

จับตายโจรใต้ปล้นปิกอัพ ประกอบระเบิดคาร์บอมป่วนเมือง




จากกรณีคนร้าย 6-7 คน พร้อมอาวุธปืนครบมือ บุกก่อเหตุปล้นเต็นท์รถ วังโต้ คาร์เซ็นเตอร์ในพื้นที่ สภ.นาทวี อ.เทพา จ.สงขลา โดยใช้อาวุธยิงลูกจ้างเจ็บ 1 ราย ก่อนจะนำพนักงานอีก 3 คนไปเป็นตัวประกันแล้วยิงทิ้งทั้ง 3 คนระหว่างทาง โดยคนร้ายปล้นปิกอัพไป 5 คัน เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ แฉลมศรี ผบก.ภจ.ปัตตานี ได้รับการประสานจาก สภ.เทพา ว่ากลุ่มคนร้ายพร้อมตัวประกัน ใช้เส้นทางมุ่งหน้าหลบหนีมาทางอำเภอโคกโพธิ์ อำเภอหนองจิก และขอการสนับสนุนช่วยติดตาม

กระทั่ง 14.00 น.พบรถยนต์กระบะ 1 ใน 5 ที่ถูกปล้นขับแหกด่านรอยต่อ อ.หนองจิก-อ.โคกโพธิ์ เจ้าหน้าที่จึงได้ไล่ติดตามอย่างใกล้ชิด คนร้าย ซึ่งขณะหลบหนีได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดการไล่ยิงกัน จนกระทั่งมาถึงบนถนนสายปัตตานี-หาดใหญ่ ม.2 บ้านปรัง ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก คนร้ายได้ขับสวนเลนเพื่อจะหลบหนีเข้าไปในหมู่บ้าน อีกทั้งเส้นทางข้างหน้ามีด้านตรวจเกาะหม้อแกง เจ้าหน้าที่จึงยังคงไล่ติดตามพร้อมกับให้อาวุธปืนยิงอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดไม่ให้หลบหนี จนกระทั่งรถคนร้ายเสียหลักตกข้างทาง


เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบพบว่ารถคันดังกล่าวเป็น 1 ใน 5 ที่ถูกปล้นไป ยี่ห้ออีซูซุ ดีแม็ค สี่ประตู สีดำ ทะเบียน บธ 4063 พัทลุง เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบพบว่าคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 1 ราย


นอกจากนี้ยังพบถังแก๊สขนาด 15 กก.ซุกอยู่ในรถด้วย คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่คาดว่าคนร้ายน่าจะนำไปก่อเหตุในพื้นที่ จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่ชุดกูเระเบิดได้ทำการเก็บกู้พบว่าเป็นระเบิดแสวงเครืองที่ประกอบแล้วน้ำหนักประมาณ 80 กก.แต่มาประสบเหตุกับเจ้าหน้าที่จนทำให้ถูกไล่ล่าและเกิดการยิงปะทะกันขึ้นในที่สุด

“โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา”จำเป็นต้องสร้างจริงหรือ!!

"Ibrahim"


รัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังผลักดันให้เกิด “โครงการไฟฟ้าถ่านหินเทพา” หรือที่เรียกว่า “โรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด” ซึ่งมีการกำหนดพื้นที่  ก่อสร้างใน อ.เทพา จ.สงขลา

“โครงการไฟฟ้าถ่านหินเทพา” หรือที่เรียกว่า “โรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด” ประกอบด้วยโครงการ 2 ส่วนด้วยกัน กล่าวคือ ส่วนของท่าเทียบเรือสำหรับการขนส่งถ่านหิน และส่วนของโรงงานผลิตไฟฟ้า ซึ่งมีจำนวน 2 โรงด้วยกัน

ในขณะที่รัฐบาลเดินหน้าชี้แจงให้เห็นความสำคัญและเหตุผลในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ อ.เทพา จ.สงขลา ต้องยอมรับเลยว่าย่อมไม่ราบรื่น และคงเป็นเช่นเดียวกับโครงการห่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภูมิภาคอื่นๆ หรือแม้กระทั่งท่าเทียบเรือขนถ่านถ่านหินที่ จ.กระบี่มีผู้เห็นด้วย และเห็นต่างได้มีการเคลื่อนไหว ซึ่งมีให้เห็นมาโดยตลอด
ท่ามกลางความเห็นต่างของฝ่ายต่อต้าน สิ่งที่น่าเป็นห่วง

คือ“ประชาชน”ผู้ที่ถูกกำหนดว่าเป็น “ผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสีย” ในพื้นที่ “มีความรู้ความเข้าใจ” ในเรื่องของโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือ“โรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด”แค่ไหน!!

สิ่งที่ตามมาของโครงการที่เป็นเรื่องของ “พลังงาน”ไม่ว่าเป็นเรื่องของไฟฟ้า หรือเรื่องของก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันที่เคยเป็นบทเรียนในอดีตจะมี “ความจริง” เกิดขึ้น 2 ด้านเสมอ

ด้านแรกคือ “ความจริง” จากเจ้าของโครงการ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือฝ่ายของรัฐบาล ซึ่งมักถูกกล่าวหาจากกลุ่มเห็นต่างว่า“ความจริง”ไม่ได้กล่าวถึงทั้งหมดเป็นแค่บางส่วนหรือ “บิดเบือน” เพื่อประโยชน์ของเจ้าของโครงการ

ส่วน“ความจริง” ของกลุ่มเห็นต่างหรือฝ่ายต่อต้าน คือ กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอ รวมถึงบรรดานักวิชาการที่มีความรู้ในเรื่องของพลังงานที่มีความเห็นต่าง ซึ่ง“ความจริง” ของคนเหล่านี้จะ “เห็นต่าง” โดยสิ้นเชิงกับ“ความจริง” ของเจ้าของโครงการ และรัฐบาล
แต่ปัญหาโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือ“โรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหิน
สะอาด”ที่ อ.เทพานั้น พลังการต่อต้านจะมากกว่าที่อื่นๆ เพราะในอดีตประชาชนในพื้นที่เหล่านี้เคยต่อต้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย หรือที่วันนี้เรียกกันสั้นๆ ว่า บริษัททีทีเอ็มมาแล้ว ถึงขนาดการใช้วาทกรรมว่า “มึงสร้าง กูเผา” รวมทั้งการต่อต้านโรงไฟฟ้าจะนะที่ผ่านมา

ผู้เขียนอยากจะให้เห็นภาพรวมของการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้กันดูว่า โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือ“โรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด”ที่ อ.เทพานั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือรัฐบาลมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน!! ที่จะต้องดำเนินการก่อสร้าง



ระบบไฟฟ้าของภาคใต้ในปี พ.ศ. 2562

ข้อถกเถียงสำคัญประการหนึ่งในความขัดแย้งเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินของ กฟผ. ที่ จ.กระบี่ และที่ อ.เทพา จ.สงขลา คือ ความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้ เพราะกำลังการผลิตสำรองในภาพรวมของทั้งประเทศในระยะ 10 ปีที่จะถึงนี้จะเหลือเกิน (ร้อยละ 30-40 ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุด) กว่ามาตรฐานในการวางแผนระบบไฟฟ้ามาก (ค่ามาตรฐานคือร้อยละ 15) ดังนั้น ข้อถกเถียงจึงมุ่งเป้ามาที่ความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้เป็นสำคัญ

ทาง กฟผ. มีความเป็นห่วงว่า ระบบไฟฟ้าของภาคใต้จะไม่มั่นคงในปี พ.ศ. 2562 เนื่องจากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น บทความนี้จึงจะฉายภาพระบบไฟฟ้าของภาคใต้ ทั้งกำลังการผลิตและความต้องการใช้ไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2562 (หรืออีก 4 ปีข้างหน้า) เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญสำหรับการถกเถียงกันในเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินต่อไป

ในปีพ.ศ. 2562 ภาคใต้มีโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 3 โรงคือ โรงไฟฟ้าจะนะ 1 (710 เมกะวัตต์) โรงไฟฟ้าจะนะ 2 (800 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าขนอม (930 เมกะวัตต์ ซึ่งจะแล้วเสร็จแล้วใช้ทดแทนโรงไฟฟ้าขนอมเดิมในปี พ.ศ. 2559) รวมทั้งหมดมีกำลังการผลิต 2,440 เมกะวัตต์ ถือเป็นกำลังหลักของกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้
ภาคใต้มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 3 แห่งคือ เขื่อนรัชประภา (240 เมกะวัตต์) เขื่อนบางลาง (72 เมกะวัตต์) และเขื่อนบ้านสันติ มีกำลังการผลิตติดตั้ง 313 เมกะวัตต์ ไม่รวมโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก

ภาคใต้มีโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล 2 โรงคือ โรงไฟฟ้าน้ำมันเตากระบี่ (340 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้ากังหันแก๊สสุราษฎร์ธานี (234 เมกะวัตต์) รวมกัน 2 โรงเท่ากับ 574 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งมักจะเดินเครื่องเป็นโรงไฟฟ้าเสริม เพราะมีต้นทุนค่าเชื้อเพลิงสูง แต่ยังสามารถใช้ในกรณีที่มีความจำเป็นได้
ภาคใต้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ขายเข้าระบบแล้ว 221 เมกะวัตต์ (จากกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด 249 เมกะวัตต์ เพราะบางส่วนจะใช้ในโรงงานของตนเอง) รวมกับที่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วอีก 284 เมกะวัตต์ รวมเป็นการคาดการณ์กำลังการผลิตที่ขายเข้าระบบ 505 เมกะวัตต์ (ไม่ได้รวมผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้าแล้ว แต่ยังไม่ได้เซ็นสัญญารับซื้ออีก 197 เมกะวัตต์ ถ้ารวมด้วยกำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 702 เมกะวัตต์) (หมายเหตุ ข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ณ เดือนกรกฎาคม 2558)

เมื่อรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าจาก 4 แหล่งเข้าด้วยกัน ภาคใต้จะมีกำลังการผลิตในระบบทั้งหมดในปีพ.ศ. 2562 เท่ากับ 3,832 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ ภาคใต้ยังมีระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลโวลต์จากภาคกลางที่ใช้งานอยู่แล้วในปัจจุบันหนึ่งวงจร (ส่งไฟฟ้าได้ 650 เมกะวัตต์) และที่กำลังดำเนินการสร้างใหม่อีก 500 กิโลโวลท์ (ส่งไฟฟ้าได้ 650 เมกะวัตต์ จะแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2562) และสายส่งเชื่อมโยงไทย-มาเลเซีย ซึ่งส่งไฟฟ้าได้อีก 300 เมกะวัตต์ รวมระบบสายส่งที่มาช่วยเสริมหนุนกำลังการผลิตในพื้นที่ได้อีก 1,600 เมกะวัตต์ (แต่ยังมิได้รวมเข้าไว้ในกำลังการผลิตของภาคใต้ เพราะถือเป็นส่วนเสริม)

ในด้านความต้องการใช้ไฟฟ้า ภาคใต้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปีพ.ศ. 2557 เท่ากับ 2,468 เมกะวัตต์ โดยจังหวัดที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้แก่ สงขลา (482 เมกะวัตต์) สุราษฎร์ธานี (370 เมกะวัตต์) ภูเก็ต (359 เมกะวัตต์) และนครศรีธรรมราช (331 เมกะวัตต์) ตามลำดับ โดย 4 จังหวัดนี้ ใช้ไฟฟ้ารวมกันเท่ากับ 62.5% ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดทั้งภาค

จังหวัดที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าน้อยที่สุดคือ นราธิวาส (71 เมกะวัตต์) สตูล (56 เมกะวัตต์) และระนอง (48 เมกะวัตต์) ข้อมูลความต้องการไฟฟ้าสูงสุดนี้ได้จากฝ่ายปฏิบัติการภาคใต้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

ต่อมาจึงเป็นการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ในปีพ.ศ. 2562 โดยกำหนดให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นปีละ 5.7% ตามแนวโน้มที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า ความต้องการไฟฟ้าของภาคใต้ในปีพ.ศ. 2562 จะเท่ากับ 3,256 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าจะมีการปฏิบัติตามแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปีของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป้าหมายในการอนุรักษ์พลังงานของภาคใต้ในปีพ.ศ. 2562 เท่ากับ 170 เมกะวัตต์ ฉะนั้น หากภาคใต้ดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมาย ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในภาคใต้ในปีพ.ศ. 2562 ก็จะลดลงเหลือ 3,086 เมกะวัตต์

จากกำลังการผลิตทั้งหมดของระบบไฟฟ้าในภาคใต้ 3,832 เมกะวัตต์ (ไม่รวมระบบสายส่ง) และความต้องการไฟฟ้าของภาคใต้ 3,256 เมกะวัตต์ (ไม่หักลดการอนุรักษ์พลังงาน) ในปีพ.ศ. 2562 กำลังการผลิตสำรองทั้งหมดของภาคใต้จะเท่ากับ 576 เมกะวัตต์ หรือเท่ากับร้อยละ 17.7 ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุด โดยไม่รวมการเสริมหนุนจากระบบสายส่ง

แต่หากเราหักลดการอนุรักษ์พลังงานตามแผนฯ ด้วย (ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดเหลือ 3,086 เมกะวัตต์) ภาคใต้จะมีกำลังการผลิตสำรองเป็น 746 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 24.2 ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุด แม้ว่า โดยทั่วไปในการวางแผนระบบไฟฟ้าของไทย เราจะถือว่า ระบบไฟฟ้าจะมีความมั่นคงเมื่อมีกำลังการผลิตสำรองเกินกว่าร้อยละ 15

ผู้เขียนเชื่อว่าประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ หรือแม้แต่คนไทยทุกคนในภูมิภาคอื่นๆ คงไม่ขัดขวางในเรื่องของความจำเป็นของพลังงาน เพราะรู้ว่าความมั่นคงทางพลังงานเป็นความจำเป็น ทั้งในวันนี้ และในวันหน้า โดยเฉพาะกับพื้นที่ของภาคใต้ที่จะต้องมีความเสถียรของพลังงานรองรับการเจริญเติบโตของบ้านเมืองที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในอนาคต

วันนี้ เราต้องการความมั่นคงในด้านพลังงาน“เพื่อการพัฒนาประเทศ”ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประเทศไทย พ.ศ.2558 - 2563 “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ในระยะ 5 ปี นับจากนี้ไป.

----------------

3 สิงหาคม 2560

Southern Toon ล้อเลียนความจริงชายแดนใต้

โจรใต้ทุ่ม 10 ล้านให้ จชต.




ผู้ดับไฟใต้ตัวจริง..
3 แกนนำต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา





ว่าด้วยเรื่องการประณามของ NGOs