หน้าเว็บ

26 มีนาคม 2560

เรื่องเล่าตำนาน “อาแวสะดอ” จอมโจรแห่งเทือกเขาบูโด



โจรอาแวสะดอ (คำ สะดอ หรือ สีดอ ในความหมายเดียวกับช้างตัวผู้ไม่มีงา) เกิดก่อนสงครามโลกเล็กน้อย นายตำรวจที่มาปราบจนสำเร็จ คือ ขุนพันธ์รักษุราชเดชขุนโจรผู้นี้มีพฤติกรรมปล้นฆ่าไม่มาก ส่วนมากจะเป็นการข่มขู่เคยเข้ามาขอทรัพย์สินที่บ้านเขาน้อย ครั้งนั้นได้ปืนลูกซองยาวของนายราม ชัยโป ไป 1 กระบอก
ก่อนที่จะถูกขุนพันธรักษุ์ราชเดชปราบปรามราบคาบในวันที่ 8 มิถุนายน 2481 ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจเอกและในปีเดียวกันนั้นขุนพันธ์รักษ์ราชเดช ได้ทำงานใหญ่ที่ท้าทายต่อความตายเมื่อต้องไปเผชิญหน้ากับจอมโจรชาวมุสลิมนามว่าอะแวสะดอ ตาและเป็นหัวหน้าโจรที่ยิ่งใหญ่มาก นอกจากจะเป็นผู้ร้ายปล้นฆ่าแล้วยังเป็นโจรที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเรื่องแบ่งแยกดินแดนสี่จังหวัดภาคใต้อีกด้วยซึ่งมีนายทุนอิทธิพลหนุนหลังอยู่ลับๆ
ภาพตัวจริงของ อาแวสะดอถูกจับล่ามโซ่บนศาลาข้างทุ่งนาตรงข้ามเป็นสนามฟุตบอลตาดีกา          บ้านจำปากอใกล้สะพานลอย 
มีเรื่องเล่าว่าอะแวสะดอ ตาและนี่ เวลาเกิดคุ้มคลั่งของขึ้นเขาจะให้ลูกน้องหลายๆคนนำปืนมารุมยิงตัวเขาเองหลายๆ นัด จอมโจรอะแวสะดอ ตาและ เป็นคนบ้านกาเยาะมาตี อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่แถบเชิงเขาบูโด

ตามบันทึกของทางราชการกล่าวไว้ว่าประวัติของ นายอะแวสะดอ ตาและ นั้นเขาเป็นลูกชายของ โต๊ะยีชาวอิสลามที่มีผู้คนนับหน้าถือตากันอย่างกว้างขวางบ้านเดิมของเขาอยู่ที่หมู่บ้านโล๊ะบากู ตำบลจำปากอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เป็นผู้ร้ายปล้นทรัพย์ ตำรวจจับได้แล้วเคยส่งไปกักขังไว้ที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรีพร้อมกับนายสะมะแอลูกน้องคนสนิท ต่อมาทั้งสองคนหลบหนีกลับมาได้
เมื่อ อะแวสะดอ ตาและ กับ สะมะแอ หนีกลับไปยังนราธิวาสแล้ว จึงมีการรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวน 9 คน เที่ยวออกปล้นสะดมตามหมู่บ้านต่างๆ ไม่ว่างเว้น และทุกครั้งที่ อะแวสะดอ เที่ยวออกปล้น มันจงใจปล้นแต่คนไทยพุทธเท่านั้น เมื่อปล้นแล้วจะต้องฆ่าเจ้าของบ้านตายด้วยวิธีการที่เหี้ยมโหดพิสดารทุกรายไป
สำหรับกรรมวิธีการฆ่าซึ่งพิสดารเหี้ยมโหดนั้น อะแวสะดอ ตาและ จะจิกผมแล้วใช้กริช ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของมันทิ่มแทงที่คอ จากนั้นมันจะกดกริชหมุนคม คว้านเอาเนื้อหรือหลอดลมออกมา ในการฆ่าบางราย อะแวสะดอ ตาและ จะคว้านไส้เหยื่อออกมาด้วย นับว่าเป็นพฤติกรรมที่ทารุณโหดร้ายผิดปกติธรรมดา เป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวไทยโดยทั่วไป เป็นอาชญากรก่อคดีสะท้านสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง
กริชประจำตัวของอะแวสะดอ ตาและ
ประกอบกับมีวิชาไสยศาสตร์ป้องกัน สามารถรูดโซ่ รูดกุญแจออกได้อย่างง่ายดาย มีผ้าประเจียด ตับมนุษย์เคราทองแดง และช้องหมูป่าเป็นเครื่องลางของขลัง ดังนั้นทางราชการจึงจำเป็นต้องตั้งกองปราบปรามพิเศษขึ้น โดยมีผู้บังคับการภูธรเขตเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยหม่อมทวีวงศ์ ถวัลศักดิ์ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในขณะนั้น และมีหลวงจำรูญ ณ สงขลาปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วย กองปราบพิเศษดังกล่าวนี้ ยังได้เกณฑ์เอาตำรวจสงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เอาเข้าไปในกองกำลังปราบปรามดังกล่าว จัดตั้งกองอำนวยการขึ้นแบ่งหน่วยปราบปรามออกเป็น 3 หน่วย คือ
หน่วยที่ 1 แต่งตั้ง ร.ต.อ.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นหัวหน้า ใช้กำลังตำรวจกองตรวจสงขลาเป็นลูกน้อง เพราะขณะนั้น ขุนพันธรักษ์ราชเดช อยู่ที่สงขลาให้นายสิบพื้นเมืองเป็นล่าม
หน่วยที่ 2 แต่งตั้ง ร.ต.อ.ปรี สุศีลวรณ์เป็นหัวหน้า ใช้ตำรวจกองพิเศษปัตตานี
หน่วยที่ 3 แต่งตั้งร.ต.ท.หม่อมราชวงศ์สะอ้าน ลัดดาวัลย์ เป็นหัวหน้า ใช้ตำรวจนราธิวาส และมีร.ต.ท.เขตต์ บุณยพิพัฒน์ เป็นเสมียนอำนวยการ
การทำงานครั้งนั้นให้หน่วยกองปราบเสือตั้งหน่วยเอาเอง มีการกำหนดจุดต่างๆ เอาไว้ 3 จุด คือ เขาแกและบาตุตะโมง และวัดหัวเขา
วันที่ปะทะกันเป็นคืนวันพุธ เวลาตี 4 ครึ่ง นกป่าสัตว์ป่าก็ตื่นร้องเป็นแถวจากด้านตะวันออก ขณะนั้นทุกคนได้ยินเสียงกิ่งไม้หักใกล้เข้ามาและได้ยินเสียงพูดพึมพำแต่ยังไม่เห็นตัว ร.ต.ท.หม่อมราชวงศ์สะอ้านก็พูดออกมา เป็นภาษามลายูว่า อีตูสะปอ อินี่สเตอรูมันตอบว่า กุดเด
เท่านั้นเองฝ่ายขุนพันธรักษ์ราชเดชเล็งปืนยิงตรงแสกหน้าอะแวสะดอ ตาและ ระยะ 2 ศอก อะแวสะดอ ตาและ กลับยืนอยู่เฉย ไม่ตายและไม่ล้ม ขุนพันธ์ฯจึงกระหน่ำยิงอีก ในที่สุดมันก็ล้มลง พรรคพวกของมันก็หนีกระเจิงขึ้นเขาไป ขุนพันธ์คิดว่ามันตายแน่ๆ จึงสั่งให้ตำรวจ 2 นายที่ชื่อลพและเงินเฝ้าศพไว้ และที่เหลือให้ตามไล่ล่าพรรคพวกโจร แต่พอวิ่งขึ้นเขาไปได้หน่อยเดียว ก็เกิดเสียงยิงปะทะข้างล่าง ตรงจุดที่ให้ตำรวจ 2 นายเฝ้าศพไว้ คงมีพรรคพวกของมันเลี้ยวเข้าไปช่วย
ม.ร.ว.สะอ้านซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุสัก 8 วา จึงเล็งยิงโจรอะแวสะดอ ตาและไปอีก ตำรวจอีก 2 คนช่วยยิงสกัดเข้าไปแต่ไม่เป็นผล กระหน่ำยิงจนลูกปืนหมดทุกคน ทั้งที่คนยิง แน่ใจว่าได้ยิงถูกอะแวสะดอ ตาและ หลายนัดแล้ว มันน่าจะตาย แต่ยังเดินยังยืนได้ ขุนพันธ์ฯตัดสินใจวิ่งเข้าไปชกต่อยอะแวสะดอ ตาและ ทุกคนกรูเข้าไปชกวงใน ไม่รู้ว่าหมัดใครต่อหมัดใคร เพราะท้องฟ้ายังไม่สว่างดี
ผลที่สุดอะแวสะดอ ตาและ หมดเรี่ยวแรง กว่าทำให้สภาพจากเสือร้ายกลายเป็นแมว ต้องใช้เวลากว่า 30 นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจจับโจรอะแวสะดอใส่กุญแจมือไว้ พอฟ้าสว่าง เจ้าหน้าที่พยายามแกะเครื่องรางที่เอว ของอะแวสะดอ ตาและ ที่มันผูกกับลวดแข็งเอาไว้ แกะอย่างไรก็ไม่ออก อะแวสะดอ ตาและ คงรำคาญ เลยกระชากจนลวดขาดแล้วปาเข้าป่าไป ไปตามเก็บมาได้จึงถามว่านี่อะไร อะแวสะดอ ตาและ บอกว่าบาบีช้องหมูป่า
ช้องหมูป่า
พอไปถึงสถานีตำรวจ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการสอบสวน อะแวสะดอ ตาและ ผู้นี้คายหัวกระสุนทั้ง 9 นัด ลงกลางโต๊ะสอบสวน ที่น่าทึ่งตอนที่ยิงปืนเข้าไป อะแวสะดอ ตาและ เอากระสุนเข้าปากไป 9 เม็ดแล้วอมไว้ ปากไม่มีรอยแตก ฟันไม่หัก ส่วนที่ถูกหน้าผากก็เหมือนถูกเล็บขีด  ส่วนที่ยิงตามตัวไม่ถูกเลยเสื้อผ้าก็ไม่เป็นรอยขาด ภายหลังถูกจับกุม เครื่องรางของขลังต่าง ๆ ถูกยึดไว้เป็นหลักฐาน
ทางการตำรวจจับตัว อะแวสะดอ ตาและ ไปที่สถานีตำรวจนราธิวาสขังไว้ 3 วัน มีประชาชนตั้งแต่ปัตตานี ยะลา รัฐกลันตัน แห่พากันไปดูหน้าจอมโจรเจ้าพ่อเทือกเขาบูโด แน่นขนัดโรงพัก ตำรวจเห็นว่าขืนขังไว้ที่นี่คงไม่ดีแน่ จึงนำตัวอะแวสะดอ ตาและ ไปฝากขัง ที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส อะแวสะดอ ตาและ ก็เป็นเช่นขุนโจรชื่อดังในอดีตของทางภาคใต้ ที่ถือว่าการตายด้วยฝีมือเจ้าหน้าตำรวจ เป็นการตายที่ไร้เกียรติอย่างยิ่งสำหรับจอมโจรอย่างเขา ดังนั้นไม่เกิน 10 วัน อะแวสะดอ ตาและ ตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย

ความสามารถพิเศษที่ปราบปราม จอมโจรอะแวสะดอ ตาและ ได้สำเร็จ ครั้งนั้นนับว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ของขุนพันธรักษ์ราชเดช ทำให้ความสงบสุขกลับคืนมา จนได้รับการยกย่องจากคนไทยพุทธและคนไทยมุสลิม ที่ต่างพากันตั้งฉายาให้ว่า รายอกะจิ" นอกจากนี้ขุนพันธ์ฯยังได้รับพระราชทานรางวัล จากเจ้าเมืองรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ส่งมีดพกเล่มหนึ่ง มาให้ ซึ่ง ท่านขุนพันธ์ ถือเป็นเกียรติอย่างสูงในชีวิต.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น