29 เมษายน 2562

บุกทลายหวยเถื่อนมาเลย์กลางเมืองโก-ลก จับเจ้ามือและพนักงานรวม 19 คน

ทหาร ตำรวจจังหวัดนราธิวาส นำกำลังเข้าจับกุม เจ้ามือ “หวยมาเลย์” รายใหญ่ ซื้อขายในไทย ก่อนส่งให้เจ้ามือที่มาเลเซีย เจ้ามือคนไทยเผย กำไรที่ได้แบ่งคนละ 50% งวดหนึ่งได้กำไร 5- 6 แสนบาท
        เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 28 เมษายน 2562 พล.ท.จตุพร กลัมพสุต ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ได้สั่งการให้ พ.อ.ชัยสิทธิ์ พิมพ์ทอง รองหัวหน้าคณะทำงานพิเศษ กอ.รมน.ภ.4 ส่วนหน้า ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลกและเจ้าหน้าที่ทหารชุด ฉก.นราธิวาส 30 ใช้กฎอัยการศึกบุกจู่โจมตรวจค้นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น เลขที่ 497/3 ถ.เอเซีย 18 เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส หลังสืบทราบเป็นแหล่งรับแทงหวยมาเลย์รายใหญ่ในพื้นที่ เมื่อถึงเป้าหมายเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น พบนายวศพล วิชาธิคุณ รับเป็นเจ้าของ และมีพนักงานชายหญิงที่แสดงสีหน้าแตกตื่น อีก 18 คน กำลังนั่งทำงานที่โต๊ะคอมพิวเตอร์และกำลังนั่งทำงานที่โต๊ะเครื่องแฟกซ์ รวม 21 เครื่อง โดยที่โต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง จำนวน 2 ตัว มีสมุดจดบันทึกโพยหวยประเทศมาเลเซีย และแผ่นเอกสารต่างๆ เป็นจำนวนมาก วางอยู่ในตะกร้าสีเหลื่อมหลากสี
        เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดของกลาง ประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 13 เครื่อง เครื่องแฟกซ์ จำนวน 8 เครื่อง เอกสารสมุดจดบันทึกโพยหวยมาเลเซียเป็นจำนวนมาก พร้อมด้วยเงินสดจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นธนบัตรไทยและธนบัตรเงินสกุลริงกิตประเทศมาเลเซีย
          ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายวศพล ทำการสอบสวนในเบื้องต้น โดยให้การรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของ โดยรับแทงหวยมาเลย์ส่งต่อให้เจ้ามือที่อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะมีรายได้ต่องวดแบ่งกับเจ้ามือในประเทศมาเลเซียครึ่งต่อครึ่ง หรือ คนละ 50 เปอร์เซ็นต์ จากผู้ซื้อแต่ละงวดรวมแล้วประมาณ 5 ถึง 6 แสนบาท เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายวศพล และพนักงานรวม 19 คน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สุไหงโก-ลก เพื่อดำเนินคดีในข้อหา เป็นเจ้ามือและร่วมกันลักลอบขายหวยโดยผิดกฎหมาย

……………………………………….

3 เมษายน 2562

การปรับภูมิทัศน์บริเวณสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลาและศาลหลักเมืองยะลาศูนย์รวมใจชาวใต้คงความสวยสุดในแดนสยาม



การปรับภูมิทัศน์บริเวณสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลาและศาลหลักเมืองยะลาศูนย์รวมใจชาวใต้ คงความสวยสุดในแดนสยาม
          เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 62 พลโท พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาค 4 ร่วมกับ นายกัมพล ตันสัจจา ผู้อำนวยการ สวนนงนุชพัทยา นำทีมจัดสวนกว่า 100 ชีวิต พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ ทำการปรับภูมิทัศน์สวน บริเวณอาณาเขตโดยรอบ ศาลหลักเมืองยะลา ซึ่งมี นายอนุชิต ตระกูลมุทุตา ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พร้อมคณะ และชาวบ้าน ร่วมให้การต้อนรับอย่างปลาบปลื้มใจ
          นายกัมพล กล่าวว่า ได้รับการประสานจาก แม่ทัพภาค 4 และผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ขอความอนุเคราะห์ในการปรับปรุงสวนสถาปัตยกรรมที่สวยงามสไตล์ฝรั่งเศส แต่ปัจจุบันต้นไม้ผสมผสานกันไม่ลงตัว ประกอบกับบางส่วนเหี่ยวเฉาล้มตาย เบื้องต้น สวนนงนุชพัทยา ได้ทำการรื้อต้นเข็มที่อยู่รอบด้านออกทั้งหมด และปลูกต้นชาฮกเกี้ยน ไม้คงทนสวยงามแทน พร้อมตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ให้ดูโปร่งสบายตา ซึ่งใช้เวลาดำเนินการเพียงหนึ่งวัน ก็สามารถพลิกโฉมสวนผังเมืองสวยที่สุดในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 23 ของโลก ได้สวยงามผิดตาจากเดิมอย่างมาก ซึ่งได้สร้างความปลาบปลื้มใจให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และพี่น้องในพื้นที่อย่างมาก
          นายอนุชิต กล่าวว่า ในนามของพี่น้องชาวยะลา ขอขอบคุณ แม่ทัพภาค 4 และสวนนงนุชพัทยา ที่เข้ามาปรับภูมิทัศน์ศาลหลักเมืองยะลา อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เคารพสักการะ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องชาวจังหวัดยะลา ให้คงความสวยสง่างาม ที่จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว เข้ามาเที่ยวชมได้จำนวนมากในอนาคต
          สำหรับ การเข้าปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ทางศาสนา โดยความร่วมมือของ กองทัพภาค 4 และสวนนงนุชพัทยา ที่มุ่งหวังพัฒนาความเจริญมาสู่ทุกศาสนา และสร้างความปรองดองให้เกิดสันติสุขในพื้นที่ภาคใต้ โดยสวนนงนุชพัทยาได้ระดมสรรพกำลังทั้งกำลังคน เครื่องจักร พฤกษานานาพรรณ และต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความเชื่อมโยงกับทุกศาสนา ผสมผสานเนรมิตให้เป็นสวนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ อันจะนำมาซึ่งความสง่างาม เป็นที่น่าเลื่อมใสแด่ผู้เคารพศรัทธาสืบไป

31 ตุลาคม 2561

จาก "มารา ปาตานี" สู่ "มาราฯพลัส"


จาก "มารา ปาตานี" สู่ "มาราฯพลัส" กับยุทธศาสตร์ช่วงเปลี่ยนผ่านโต๊ะพูดคุย
แม้จะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงหลายเดือนมานี้ เกี่ยวกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จนไม่มีใครคาดเดาได้ว่าโครงสร้างและองค์ประกอบของโต๊ะพุดคุยจะยังเหมือนเดิมหรือไม่ 
แต่กลุ่ม "มารา ปาตานี" ที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ 6 กลุ่ม ซึ่งอ้างว่ามี "บีอาร์เอ็น" รวมอยู่ด้วย และได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยฯกับรัฐบาลไทยมาตั้งแต่ปี 58 ก็ยังเดินหน้าทำงานของตัวเองต่อไป 
ทั้งๆ ที่มีข่าวว่า "มารา ปาตานี" อาจถูกลดบทบาทลง เพราะไม่ได้เป็น "ตัวจริง" ที่ควบคุมสถานการณ์และกลุ่มติดอาวุธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ช่วงที่ผ่านมา "มารา ปาตานี" ได้เชิญภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ชายแดนใต้ไปพูดคุยกันที่มาเลเซีย เนื้อหาของการพูดคุยมีทั้งการทำความเข้าใจในเรื่องแนวคิด วิธีการทำงาน ตลอดจนปัญหาของกระบวนการพูดคุยฯ และท่าทีของรัฐบาลไทย
เป็นที่น่าสังเกตว่า จังหวะเวลาที่ "มารา ปาตานี" เชิญภาคประชาสังคมจากชายแดนใต้ไปพูดคุย เป็นช่วงที่รัฐบาลมาเลเซียเปลี่ยนตัว "ผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุย" จาก ดาโต๊ะซัมซามินเป็น ตันสรี อับดุลราฮิม นูร์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลมาเลเซียแล้วด้วยซ้ำ และที่น่าสนใจก็คือ มีการเชิญภาคประชาสังคมที่เป็นคนพุทธข้ามไปพูดคุยกันด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือ บุษยมาส อิศดุลย์ ประธานกลุ่มเยาวชนนอกระบบบ้านบุญเต็ม ซึ่งทำงานด้านการดูแลสิทธิของเยาวชนในคดีความเบื้องต้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
"ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะได้เจอกับมาราฯ แต่ก็ได้เจอ มีผู้ชาย 4 คน คนหนึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษกของมาราฯ และมาจากบีอาร์เอ็น เราเจอในประเทศมาเลเซีย ได้พูดคุยกัน ได้รับฟังในสิ่งที่กลุ่มเขาทำ" บุษยมาส บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการพบปะ
"คนของมาราฯ บอกว่าไม่อยากได้ยินเรื่องใครตัวจริง ตัวปลอม ตามที่ใครๆ พูดกัน เขาบอกว่ากว่าจะมารวมตัวกันได้ กว่าจะตกลงกันได้ก็มีปัญหาภายใน และพวกเขาก็ตกลงกันว่าจะใช้ชื่อในการพูดคุยฯหลังจากนี้่ว่า มาราฯ พลัส"
คำว่า "มาราฯ พลัส" ตามที่บุษยมาสเล่า น่าจะแฝงนัยของการสร้างเครือข่ายภาคประชาสังคมไปร่วมในปีกของ "มารา ปาตานี" ซึ่งถือเป็นการทำงานแบบก้าวกระโดดของมาราฯ เพราะในฝั่งคณะพูดคุยฯตัวแทนรัฐบาลไทย ยังจัดทัพภายในกันอยู่เลย ในส่วนของ "ข้อเรียกร้อง" ที่ว่ากันว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กระบวนการพูดคุยฯต้องหยุดชะงักไปตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในมาเลเซียเดือน พ.ค.61 โดยเฉพาะเรื่อง  "พื้นที่ปลอดภัย" ประเด็นนี้ "มารา ปาตานี"มีคำอธิบาย
"เขาบอกว่าแต่ละคนก็มีข้อเรียกร้อง มีข้อเสนอมารวมกัน ข้อเรียกร้องร่วมมี 3 ประเด็นที่เขาเคยยื่นมาก่อนแล้ว และได้นำร่องไปแล้วในเรื่องของการจัดตั้งเซฟตี้โซน (พื้นที่ปลอดภัย) ซึ่งจะแตกต่างจากการตั้งเซฟเฮาส์ และมีคณะกรรมการทำงานในพื้นที่ที่มาจากการเสนอของทั้ง 2 ฝ่าย"
นี่คือส่วนของข้อเรียกร้องที่เกี่ยวกับ "พื้นที่ปลอดภัย" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลไทยทำฝ่ายเดียวอยู่ ขณะที่ข้อเรียกร้องหลักอื่นๆ ก็มีอีก 3 ข้อ
"มีเรื่องของการปกครองพิเศษแบบที่ไม่แบ่งแยกดินแดน การใช้ภาษา และความเป็นอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ แต่ในรายละเอียดเราต้องรอดูว่าเขาจะเสนออะไรบ้างและรัฐบาลไทยจะว่าอย่างไร โดยมาราฯบอกว่าเขาตั้งใจจะเสนอให้รัฐบาลไทยหลังจบการเลือกตั้ง (ของไทย) ซึ่งหมายถึงภายใน 15 เดือนหลังจากนี้" บุษยมาส บอก
ข้อสรุปของทิศทางการพูดคุยหลังจากนี้ของ "มารา ปาตานี" หรือ "มาราฯ พลัส" จากข้อมูลของบุษยมาสก็คือ พวกเขาจะยื่นข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งแม้จะใช้เวลา แต่ตัวแทนภาคประชาสังคมจากชายแดนใต้อย่างบุษยมาส ก็พร้อมที่จะรอ และคาดหวังว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
"เราเองก็หวังว่าหลังจากนี้อีก 15 เดือนจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็คือรอให้รัฐบาลนิ่งก่อน และมีการพูดคุยกันอย่างสันติ แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดีบนโต๊ะเจรจา รับข้อตกลง ไม่เหมือนกับ 5 ครั้งที่ผ่านมาที่ทำแล้วหาย ไม่เกิดข้อตกลงอะไรเลย"
ในทัศนะของบุษยมาส เธอเห็นว่ารัฐบาลไทยรับฟังและยอมรับข้อเสนอ ตลอดจนข้อเรียกร้องของผู้เห็นต่างจากรัฐน้อยเกินไป
"รัฐไทยพยายามทำให้เราเห็นว่ามีกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนอยู่จริง มีบีอาร์เอ็น มีพูโล มีมารา ปาตานี รัฐบาลไทยพยายามสื่อให้เราเห็นว่ามันมี แต่ในขณะเดียวกันทางฝั่งรัฐบาลเองก็ทำให้เราเห็นว่าเขาไม่รับฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รับฟัง ปัญหาก็ยังคงอยู่ ถามว่ามันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน" เป็นความค้างคาใจของบุษยมาส
ส่วนข้อสงสัยจากหลายฝ่ายที่ว่าเหตุใดเมื่อกระบวนการพูดคุยเริ่มต้นแล้ว การก่อเหตุรุนแรงยังคงอยู่ เรื่องนี้ "มารา ปาตานี" ก็มีคำตอบเหมือนกัน
"เขาให้ข้อสังเกตว่าทุกครั้งที่มีการเปิดโต๊ะเจรจาพูดคุยกัน ฝั่งรัฐบาลไทยก็ไป แต่ไม่ว่าจะมีข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องอะไร รัฐบาลไทยไม่เคยลงนามอะไรเลย แม้แต่บันทึกข้อตกลง คุยกันทีไรฝั่งไทยเราก็เฉย แล้วก็นิ่ง แล้วก็หาย ตรงนี้จึงเป็นประเด็นที่ไม่เกิดข้อตกลง และฝั่งมาราฯก็ไม่ได้รับการชี้แจงหรือคำตอบอะไร ก็เลยเป็นที่มาของประเด็นปัญหาคาราคาซังจนถึงทุกวันนี้"
          "เขา (มารา ปาาตานี) ก็คาดหวังที่จะให้เกิดความสงบ  มาราฯใช้คำว่าเป็นประเด็นสันติภาพ ไม่ใช่สันติสุข ก็แสดงว่ามันมีนัยอะไรในประเด็นสันติภาพ แต่ฝั่งของคนไทยเรา เราเรียกร้องสันติสุข ซึ่งมันก็ไม่ตรงกับความคิดเห็นของทางมาราฯ เพราะเป็นแบบนี้เราก็จะต้องมาคิดว่าจะทํากันอย่างไรต่อไป" บุษยมาส กล่าว
          ทั้งหมดนี้คือกระแสข่าวและความเคลื่อนไหวของ "มารา ปาตานี" คู่พูดคุยของรัฐบาลไทยเพื่อยุติความขัดแย้งและความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงเวลาที่ข่าวคราวจากพวกเขาเงียบหายไปจากสื่อกระแสหลักบ้านเรา

18 ตุลาคม 2561

รัฐติวเข้มปัญหาสุขภาวะชายแดนใต้ หลังโรคหัดระบาดใหญ่ตาย 5

รองนายกรัฐมนตรี และผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯ เตรียมลงพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อประชุมใหญ่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หลังเกิดการระบาดของโรคหัดในเด็ก ทำให้มีเด็กเสียชีวิต 5 ราย ติดเชื้อและป่วยอีกเกือบครึ่งพัน
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ นัดกันลงพื้นที่วันที่ 19 ต.ค.นี้ พร้อมเรียกประชุมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งสามจังหวัด ที่สำนักงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย จังหวัดปัตตานี เพื่อเร่งรัดหามาตรการป้องกันปัญหาการระบาดของโรค ตลอดจนปัญหาสุขภาวะในภาพรวมของพื้นที่ด้วย
การระบาดของ "โรคหัด" ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วในบ้านเรา เพราะประเทศไทยเตรียมประกาศให้โรคหัดหมดไปจากประเทศภายในปี 2563 ตามพันธะสัญญานานาชาติ
แต่ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมากลับมีเด็กป่วยจากโรคหัดจำนวนมาก ที่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยเด็กๆ ที่รอเข้าคิวตรวจ ท่ามกลางความเครียดของพ่อแม่ผู้ปกครองที่กังวลกับอาการของลูกน้อย
รอกีเยาะ อาบู แม่ลูกอ่อนชาวจังหวัดยะลา เป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ต้องพาลูกน้องไปหาหมอ เนื่องจากติดโรคหัด รอกีเยาะ เล่าว่า ลูกสาวคนที่สองไม่สบาย หมอบอกว่าติดเชื้อเป็นหัด ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ลูกคนโตเพิ่งเป็นหัดได้ไม่นาน และเพิ่งได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"รู้สึกเครียดมาก เพราะเงินก็ไม่มี ลูกก็ไม่สบาย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากดูแลกันไป ยิ่งตอนนี้มีเด็กตายไปแล้ว คน ยิ่งทำให้รู้สึกกลัว"
ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา ระบุว่า สถานการณ์โรคหัดล่าสุด ตั้งแต่วันที่ ก.ย.ถึง 11 ต.ค.61 มีผู้ป่วย 392 คน พบกระจายอยู่ทั้ง อำเภอของจังหวัดยะลา มีผู้เสียชีวิตแล้ว คน โดยการระบาดของโรคอยู่ในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า ปี
จำนวนผู้ป่วยแยกเป็นรายอำเภอ คือ อ.ยะหา 103 ราย อ.บันนังสตา 57 ราย อ.ธารโต 56 ราย อ.กาบัง 53ราย อ.กรงปีนัง 49 ราย อ.เมืองยะลา 43 ราย อ.รามัน 24 ราย และ อ.เบตง ราย
สำหรับเด็กที่เสียชีวิต เป็นผู้ป่วยจาก อ.กรงปินัง ราย อ.บันนังสตา และ อ.ธารโต อำเภอละ ราย
นพ.สงกรานต์ ไหมชุม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา บอกกับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่า พื้นที่ระบาดหนักที่สุดมี อำเภอ คือ อ.ยะหา อ.บันนังสตา และ อ.ธารโต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณการรับวัคซีนต่ำ แต่ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้สามารถควบคุมการระบาดได้ระดับหนึ่งแล้ว เพราะจำนวนผู้ป่วยใหม่ลดลง
"ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินฯโรคหัดขึ้น พร้อมทั้งได้ควบคุมการระบาดของโรคด้วยมาตรการ 323 คือ 'หาให้ครบ ฉีดให้ทันโดยการลงพื้นที่เชิงรุก ดำเนินการวินิจฉัยโรคให้เร็ว แจ้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ทราบภายใน ชั่วโมงเพื่อสอบสวนโรค หาผู้สัมผัสโรคให้ครบภายใน วัน และดำเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้สัมผัสโรคภายใน วัน" นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา กล่าว
สำหรับสาเหตุของการระบาด มาจากการไม่รับวัคซีน หรือได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ เนื่องจากประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมเข้าใจผิดว่าวัคซีนผลิตจากส่วนประกอบของหมู จึงปฏิเสธการรับวัคซีน ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง
นพ.สงกรานต์ ย้ำว่า ขณะนี้มีคำแถลงชี้แจงจากจุฬาราชมนตรีออกมาแล้ว ขณะที่ทางสาธารณสุขจังหวัดก็พยายามลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจ โดยเฉพาะกับพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเด็ก เพื่อให้ยินยอมพาเด็กมารับวัคซีน
"วัคซีนโรคหัดที่นำมาใช้ในประเทศไทยเป็นวัคซีนที่ปลอดภัย ไม่มีส่วนประกอบมาจากหมู เป็นวัคซีนที่มีการใช้กันทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศมุสลิมอย่างประเทศมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย นอกจากนี้วัคซีนยังมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคได้"
"ขอเน้นย้ำให้ประชาชนที่มีบุตรหลานที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโรคหัด มารับการฉีดวัคซีนโดยด่วนที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และหากเด็กในปกครองมีไข้ ไอ มีผื่นแดงและตาแดง ให้แยกเด็กออก ไม่ให้สัมผัสกับเด็กอื่นเป็นระยะเวลา สัปดาห์ และในกรณีที่ในบ้านที่มีเด็กสัมผัสร่วมบ้านกับผู้ป่วย หากไม่ได้รับวัคซีนหรือฉีดวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ ให้ผู้ปกครองนำเด็กไปฉีดวัคซีนให้ครบ หรือในกรณีของเด็กนักเรียน หากมีอาการข้างต้นให้หยุดอยู่บ้าน เป็นระยะเวลา สัปดาห์เช่นกัน" นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา ระบุ
"โรคหัด" เป็นโรคไข้ออกผื่น จริงๆ แล้วพบได้ทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็กเล็ก อายุ 1-6 ปี เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อกันได้ง่ายมากโดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด อาการของโรคหัด เริ่มจากมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะ และกลัวแสง อาการต่างๆ จะมากขึ้นพร้อมกับไข้ที่สูงขึ้น และจะสูงขึ้นเต็มที่เมื่อมีผื่นขึ้นในวันที่ ลักษณะผื่นนูนแดงติดกันเป็นปื้นๆ อาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยมากโดยเฉพาะในเด็กเล็กคือ หูส่วนกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง สมองอักเสบ พบได้ประมาณ ใน 1,000 ราย ซึ่งจะทำให้พิการ หรือเสียชีวิตได้
ปัจจุบันโรคหัดป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน ครั้งที่ เมื่อเด็กอายุ ปีครึ่ง
สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้อีก จังหวัด คือ ปัตตานี และนราธิวาส พบผู้ป่วยบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นระบาด โดยปัตตานีพบผู้ป่วย 58 ราย นราธิวาส 19 ราย

จริงๆ แล้วปัญหาด้านสุขภาวะและสาธารณสุข เป็นปัญหาหนักมากในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมาองค์การยูนิเซฟ เคยเผยแพร่รายงานการศึกษาจากในพื้นที่ พบว่าเด็กๆ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในภาวะขาดสารอาหาร หรือ "ทุพโภชนาการ" สูงที่สุดในประเทศ ขณะเดียวกันก็มีอัตราการรับวัคซีนป้องกันโรคต่ำที่สุดในประเทศ (อ่านประกอบ : เด็กชายแดนใต้ขาดสารอาหาร แถมเสี่ยงเอดส์!)

12 ตุลาคม 2561

จาก "พล.อ.อักษรา " เป็น "พล.อ.อุดมชัย" คปต.ชงเปลี่ยนหัวหน้าพูดคุยดับไฟใต้

การประชุม คปต. หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันนี้ (11 ต.ค.61) กลายเป็นการประชุมที่มีประเด็นสำคัญ เพราะมีการเคาะเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะมีการเสนอชื่อให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจขั้นสุดท้ายเร็วๆ นี้
ที่ประชุม คปต.มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน มีวาระพิจารณาหลายเรื่อง และหนึ่งในนั้นคือการพิจารณาปรับโครงสร้างคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากมาเลเซียเปลี่ยนผู้นำรัฐบาล และเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยคนใหม่
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีข้อเสนอให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ จาก พล.อ.อักษรา เกิดผลที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็น พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 โดยจะมีการนำเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาตัดสินใจอีกครั้ง โดยเรื่องนี้ต้องได้ข้อสรุปก่อนที่ดร.มหาธีร์ โมฮาหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือน ต.ค. เพราะจะมีวาระหารือกันของผู้นำทั้งสองประเทศเกี่ยวกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขฯด้วย
         ที่ผ่านมามีข่าวมาตลอดว่ารัฐบาลไทยอาจพิจารณาเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยฯ จาก พล.อ.อักษรา เป็นบุคคลอื่น เพื่อให้สอดรับกับแนวทางการพูดคุยใหม่ที่จะมีขึ้นหลังได้ตัวผู้อำนวยความสะดวกคนใหม่ที่เป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลมาเลย์ ซึ่งก็คือ ตัน สรี อับดุลราฮิม บิน โมห์ด นูร์ (อับดุลราฮิม นูร์) คนสนิทของ ดร.มหาธีร์ โดยรูปแบบการทำงานของ อับดุลราฮิม นูร์ ก็มีทิศทางปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของคณะพูดคุยฯฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับ "กลุ่มบีอาร์เอ็น" มากขึ้น เพราะเชื่อกันว่า "บีอาร์เอ็น" เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อกลุ่มติดอาวุธในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
          ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือมาเป็นระยะว่า ทางการมาเลเซียก็ส่งสัญญาณให้รัฐบาลไทยเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยฯ จาก พล.อ.อักษรา เป็นคนอื่น
          พล.อ.อักษรา ทำหน้าที่หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ มาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 259/2558 เรื่อง แต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ นับถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 3 ปีแล้ว โดยผลสำเร็จสูงสุดจากกระบวนการพูดคุยก็คือ การบรรลุข้อตกลงเรื่อง "พื้นที่ปลอดภัย" นำร่องอำเภอแรกร่วมกัน แม้ภายหลังฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐที่รวมตัวกันมาในชื่อ "มารา ปาตานี"จะไม่ยอมส่งตัวแทนเข้าร่วมในกระบวนการจัดทำ "พื้นที่ปลอดภัย" ก็ตาม
ขณะที่ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ เป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 53-56 เป็นผู้ริเริ่มโครงการ "พาคนกลับบ้าน" ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นอดีตนายทหารที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาชายแดนใต้มากที่สุดคนหนึ่ง

10 ตุลาคม 2561

คืน “รอยยิ้ม+ความสุข” สู่ครอบครัว

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. สืบเนื่องจาก พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ประกาศยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ 20 ปี โดยใช้หลักการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน ในการดูแลพื้นที่ให้ปลอดภัย สร้างความเข้าใจต่อประชาชนนอกเหนือจากการป้องกันแก้ปัญหาการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มก่อความไม่สงบ ได้เพิ่มอีกหนึ่งนโยบาย ดำเนินการอย่างเร่งด่วนควบคู่คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดภายใน 3 เดือนแรก เนื่องจากพี่น้องประชาชนต่างเป็นห่วงลูกหลานที่ตกเป็นทาสของยาเสพติดนับวันเพิ่มเป็นจำนวนมาก และต่างจับตารอคอยความหวังเห็นการกวาดล้างยาเสพติดให้สิ้น จับผู้ค้าดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดและแยกเสพบำบัดเพื่อคืนคนดีสู่สังคม

นางนิแย (สงวนนามสกุล)  อายุ 54 ปี ชาวบ้านใน อ.เมืองปัตตานี กล่าวถึงลูกชายที่กว่าจะหลุดจากวงจรยานรกมาได้จากถูกเพื่อนชักจูง  ก็จะถามลูกตลอดว่าไปไหน พอรู้มาว่าน่าจะไปข้องแวะเรื่องยาเสพติด คนเป็นแม่กลุ้มใจและเสียใจอยู่ตลอดเวลา หวั่นลูกชายจะเสียอนาคต กระทั่งลูกชายเข้าค่ายโครงการศูนย์ขวัญแผ่นดิน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและฝึกอาชีพรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก 

ทุกคืนได้ขอพรให้ลูกกลับมาพ้นจากยาเสพติด ทุกวันนี้ลูกกลับมาเป็นลูกแม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือและดีมากหากแม่ทัพภาคที่ 4 ได้เข้ามาดูแลเรื่องปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง เพราะมีอีกหลายครอบครัวที่ทุกวันนี้บุตรหลานตนเองยังคงตกเป็นทาสยาเสพติด ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีการจริงจังกับการเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาตรงนี้ร่วมกับพ่อแม่และผู้นำชุมชน

8 ตุลาคม 2561

ดร.มหาธีร์ "เยือนไทยปลายตุลาคม เดินหน้าพูดคุยดับไฟใต้"


นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีกำหนดการเดินทางเยือนไทยช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีการหารือเพื่อเดินหน้ากระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้หลังจากหยุดชะงักมาระยะหนึ่งด้วย 
 ดร.มหาธีร์ โมฮาหมัด นายกรัฐมนตรีวัย 93 ปีของมาเลเซีย เตรียมเดินทางเยือนไทยช่วงปลายเดือน ตุลาคม ภายหลังนำพรรคฝ่ายค้านชนะเลือกตั้ง และก้าวขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ตั้งแต่ช่วงเดือน พฤษภาคม เป็นต้นมา
          การเดินทางมาไทยรอบนี้นอกจากจะเป็นการเยือนตามธรรมเนียมเมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำประเทศในอาเซียนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดกันแล้ว ดร.มหาธีร์ ยังมีวาระหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย เกี่ยวกับการเดินหน้ากระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขด้วย
          ช่วงปลายเดือน กันยายน ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า ปลายเดือนตุลาคมจะมีโอกาสได้พบกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเพื่อหารือกัน และจะดำเนินกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งยังบอกว่ารัฐบาลมาเลเซียให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตลอด โดยได้เปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยคนใหม่ ขณะที่ฝ่ายไทยก็กำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรจึงจะเหมาะสม
          การเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยคนใหม่ เกิดขึ้นในช่วงเดือน สิงหาคม ที่ผ่านมา โดย ดร.มหาธีร์ ได้ลงนามแต่งตั้ง ตัน สรี อับดุล ราฮิม บิน โมห์ด นูร์ (Tan Sri Abdul Rahim bin Mohd. Noor) อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลมาเลเซีย เข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวกฯคนใหม่ แทน ดาโต๊ะ สรี อะหมัด ซัมซามิน ฮาซิม ซึ่งสนิทสนมกับอดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ทั้งยังทำหน้าที่มานานตั้งแต่ปี 55 โดยรัฐบาลมาเลเซียอ้างว่าหมดวาระการทำหน้าที่เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 61
          หลังรับตำแหน่งผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยคนใหม่ ได้ไม่นาน ตัน สรี อับดุล ราฮิม ได้นัดหมายแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นที่พำนักอยู่ในมาเลเซีย 5 กลุ่ม จำนวนประมาณ 20 คน เข้าพบ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย เพื่อหารือแนวทางการดำเนินกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขต่อไป โดยแกนนำบีอาร์เอ็น 1 ใน 5 กลุ่มนี้ มีชื่อ นายดูนเลาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนปอเนาะญิฮาด ซึ่งฝ่ายความมั่นคงไทยเชื่อว่าเป็นผู้นำสูงสุดของบีอาร์เอ็นในปัจจุบันรวมอยู่ด้วย แต่ปรากฏว่า นายดูนเลาะ ไม่ได้เดินทางไปตามนัด
          มีรายงานด้วยว่า หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยคนใหม่ ตัน สรี อับดุล ราฮิม เคยเดินทางมาไทยอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อพูดคุยกับผู้มีอำนาจฝ่ายไทยในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนตัวคณะพูดคุยฝั่งผู้เห็นต่างจากรัฐ โดยลดบทบาทของกลุ่ม"มารา ปาตานี" ลง และเพิ่มพื้นที่ให้กับกลุ่มบีอาร์เอ็นมากขึ้นแทน เพราะเชื่อว่ามีอิทธิพลกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยมากกว่า