28 พฤษภาคม 2560

ฟิลิปปินส์จูบปากรัสเซียร่วมปราบไอเอส


ฟิลิปปินส์จะเซ็นสัญญาร่วมมือปราบปรามกลุ่มมุสลิมก่อการร้ายกับรัสเซีย: ตั้งแต่ผมอ่านข่าวมา ผมรู้สึกว่าวลาดิเมียร์ ปูตินกุมความลับอะไรต่อมิอะไร โดยเฉพาะการก่อการร้ายดีทุกอย่าง แต่เขาจะเลือกเวลาที่เหมาะสมในการทิ้งบอมบ์ด้วยความเห็นของเขา หลังจากทิ้งบอมบ์ไปแล้ว ก็จะส่งผลต่อความคิดของชาวโลกมาก และที่สำคัญ เขาเลือกทิ้งบอมบ์ต่อหน้าผู้นำประชาคมโลกซึ่งมีศัตรูอยู่ด้วยเสียด้วย ทำนอง 'ไม่เข้าถ้ำเสือหรือจะได้ลูกเสือ' ขอยกตัวอย่างสัก ๒ เรื่อง:-

1.รัฐบาลอเมริกาจัดประชุมนานาชาติ โดยเชิญแกนนำชาติต่างๆ ไปประชุมครบ ปูตินได้มีโอกาสกล่าวสุนทรพจน์ เขาพูดในที่ประชุมซึ่งเป็นการ *ตบหน้า* บารัค โอบามาถึงบ้านอย่างตรงๆ ว่ารัฐบาลอเมริกานั่นเองที่สร้างกลุ่มไอสิสขึ้นมาเพื่อป่วนตะวันออกกลาง ถามโอบามาตรงๆ ว่า 'เอ็งรู้หรือปล่าวว่าเอ็งกำลังทำอะไร? (Do you realise what you are doing?)' (ดูรายละเอียด https://www.youtube.com/watch?v=gwLufaTK29s หรือ https://www.youtube.com/watch?v=OQuceU3x2Ww)

ทำให้ปูตินดังระเบิดเถิดเทิงไปทั่วโลก สื่ออเมริกันแนวทางเลือกก็ช่วยแฉจนกระทั่งนางฮิลลารี คลินตันพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างหมดรูปในเวลาถัดมา


2.อีกครั้ง เมื่อจีนจัดประชุมแถลงการเรื่อง *หนึ่งเข็มขัด หนึ่งเส้นทาง* (One Belt One Road) ในเดือนพฤษภาคมนี้เอง ปูตินเลือก
พระธรรมเทศนา เอ้ย หัวข้อปาฐกถาที่สำคัญเพื่อแฉต่อชาวโลกว่าแท้ที่จริงแล้ว คนผลิตซอฟแวร์ (malware) ที่เป็นอันตรายต่อคนเล่นคอมพิวเตอร์ไปทั่วโลก ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็นหน่วยซีไอเอของอเมริกานั่นเอง (รายละเอียด โปรดดู https://www.youtube.com/watch?v=utLbS3HVCdA หรือ https://www.infowars.com/putin-malware-created-by-intellig…/) พูดเสร็จก็ดังระเบิดเถิดเทอง เป็นข่าวแฉ โด่งดังไปรอบโลกอีกครั้ง


สังเกตว่าปูตินจะเลือกเวลาบอมบ์ด้วยสุนทรพจน์ ปูตินเป็นเคจีบีเก่า เพราะมีเครือข่ายพร้อม จึงมีข้อมูลเพียบ ไม่เพียงจะมีข้อมูลเชิงลึก ยังกล้าหาญและฉลาดเลือกเวลาในการสื่อสารอีกต่างหาก ในช่วงสี่ห้าปีนี้ รัฐบาลเจ้าพ่อมีนโยบายรุกรานชาติอื่นเพื่อล่าอาณานิคมอย่างเห็นได้ชัด ต้องอาศัยรัฐบาลที่เป็นเอกภาพดูแลประเทศ ผมคิดว่านายกจากการเลือกตั้งดูแลประเทศชาติไม่ได้หรอกครับ ภูมิปัญญามีไม่พอจะจัดการด้านความมั่นคงทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ เจอสื่อกระแสหลักจากมหาอำนาจซัดใส่ สส.สำรวยแมนสำรวยเกิร์ลเหล่านี้ก็เป๋ไปหมดแล้ว


หลังจากที่ฟังสุนทรพจน์ปูตินในข้อที่ 1 ผมก็เคยเขียนเสนอให้รัฐบาลไทยร่วมมือกับรัสเซียในการปราบปรามกลุ่มโจรก่อการร้ายในภาคใต้ที่เพจนี้แหละครับ ดูจะเป็นคนแรกที่เขียนแนะด้วยซ้ำ ใครติดตามอ่านเป็นแฟนพันธุ์แท้ก็คงจะจำได้ เพราะรู้สึกว่าสักวันจะต้องลามปามมาถึงไทย มาบัดนี้ ดูเตอร์เต้ของฟิลิปปินส์เจอภัยคุกคามต้องวิ่งแจ้นไปหารัสเซียเพื่อร่วมมือกันในการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายไอสิสก่อนเพื่อนในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์...ไวกว่าไทยอีก


จะรอให้บางจังหวัดถูกยึดครองไปก่อนเหมือนฟิลิปปินส์หรือยังไงน่ะ?


cr.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

ฟิลิปปินส์แฉ“นักรบจีฮัด”จากมาเลย์และอินโดฯ ร่วมบุกยึดเมืองมาราวี วางแผนตั้ง “จังหวัดไอเอส”


ทางการฟิลิปปินส์แฉ“นักรบจีฮัด”จากมาเลย์และอินโดฯ ร่วมบุกยึดเมืองมาราวี วางแผนตั้ง “จังหวัดไอเอส” บนเกาะมินดาเนา ขณะที่กองทัพสั่งถล่มหนักเพื่อยึดเมืองคืน ส่งผลยอดตายพุ่งเกือบครึ่งร้อย ด้าน“อิเหนา”ผวาทั้งประเทศ หลัง“ไอเอส”ยันอยู่เบื้องหลังบึ้มพลีชีพกลางกรุงจาการ์ตา ส่วนแม่มือระเบิด “แมนชสเตอร์” ปูดลูกโทรหาก่อนกดบึ้ม บอก “ยกโทษให้ผมด้วย” ผงะ!อดีตนายกฯกรีซโดนจดหมายระเบิดเจ็บสาหัส

                ยังไม่มีทีท่าจะยุติลงง่ายๆ สำหรับวิกฤตการณ์ก่อการร้ายในประเทศฟิลิปปินส์ ภายหลังจากกลุ่มติดอาวุธ “เมาเต” ซึ่งประกาศตัวเป็นเครือข่ายของกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ยังคงปักหลักยึดเมืองมาราวี บนเกาะมินดาเนา ของฟิลิปปินส์ เพื่อต่อสู้กับทหารรัฐบาลอย่างดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตได้พุ่งสูงขึ้นจนเกือบถึง 50 คนแล้ว ขณะที่ทางการฟิลิปปินส์ได้ออกมาประกาศข่าวอันน่าตกใจว่า ปฏิบัติการยึดเมืองที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีเพียงนักรบสัญชาติฟิลิปปินส์เท่านั้น แต่ยังมีนักรบต่างชาติมาเข้าร่วมด้วย

ฟิลิปปินส์พบนักรบต่างชาติร่วมยึดเมือง

                โดย นายโอเซ คาลิดา รองอธิบดีอัยการฟิลิปปินส์ ได้ออกมาแถลงถึงเรื่องนี้เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมว่า ผลการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของกลุ่มติดอาวุธที่เสียชีวิตจากการปะทะกับทหารในเมืองมาราวี บนเกาะมินดาเนา พบว่า มีนักรบชาวมาเลเซียและอินโดนีเซีย เข้าร่วมขบวนการนักรบจิฮัดในพื้นที่ก่อเหตุความไม่สงบในเมืองมาราวีอยู่ด้วย

แฉเป้าตั้งจังหวัดไอเอส-ฆ่าคนศาสนาอื่น

                นายคาลิดา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ผู้ก่อเหตุเป็นเพียงกลุ่มก่อการร้ายท้องถิ่นธรรมดา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์เดียวกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ไปแล้ว เขากล่าวอีกว่า กลุ่มเมาเต ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในฟิลิปปินส์ และกลุ่มไอเอส ต้องการที่จะสร้างจังหวัดไอเอสขึ้นบนเกาะมินดาเนา และเป้าหมายโจมตีของพวกเขาไม่ใช่แค่รัฐบาลเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนทั่วไป ทั้งชาวคริสต์และชาวมุสลิม ที่ถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต และว่าสิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้คือ กลุ่มไอเอสได้ปลูกฝังความรุนแรงในหัวเยาวชนของฟิลิปปินส์ไปเป็นจำนวนมากแล้ว

ยอดตายพุ่งพรวดเกือบครึ่งร้อย

                ขณะที่เหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มติดอาวุธ ตลอด 3 วันที่ผ่านมา กองทัพฟิลิปปินส์ ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์และกองกำลังลงปฏิบัติการในพื้นที่ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งเป็น 46 คน เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร 15 นาย และสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ 31 คน ขณะที่ นายอิสนิลอน ฮาปิลอน ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายคนสำคัญของเอเชีย ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองมาราวี โดยกลุ่มติดอาวุธได้ให้ความช่วยเหลือไว้

                อย่างไรก็ตาม กองทัพฟิลิปปินส์ กำลังพยายามยึดเมืองมาราวีกลับคืนมาอย่างเต็มที่ ขณะที่ชาวบ้านหลายพันคนยังคงทยอยอพยพออกจากพื้นที่จังหวัดมาราวี ซึ่งมีประชากรราว 200,000 คนอย่างต่อเนื่อง

“ไอเอส”ยืนยันบงการบึ้มอินโดนีเซีย

                ส่วนความคืบหน้าเหตุระเบิดพลีชีพ 2 ระลอกที่สถานีรถโดยสารกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียเมื่อคืนวันพุธ ซึ่งทำให้ตำรวจเสียชีวิต 3 นายและมีผู้บาดเจ็บอีกนับสิบคนนั้น สำนักข่าวอามัก ซึ่งเป็นสื่อกระบอกเสียงของกลุ่มไอเอส รายงานเมื่อค่ำวันพฤหัสบดีว่า เหตุโจมตีในอินโดนีเซียเป็นการกระทำของนักรบกลุ่มไอเอส ขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า ข้ออ้างดังกล่าวเชื่อถือได้ และมั่นใจว่ากลุ่มเจมาห์อันชารัต ดอลาห์ (เจเอดี) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในท้องถิ่นเครือข่ายกลุ่มไอเอส เป็นผู้ก่อเหตุระเบิดโจมตีสถานีรถโดยสารกัมปุงเมลายูด ที่มีผู้คนหนาแน่นในกรุงจาการ์ตาเมื่อคืนวันพุธ ทำให้ร่างผู้เสียชีวิตและเศษกระจกกระจายทั่วพื้นที่ ผู้คนตื่นตกใจมาก

                ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยต่อต้านการก่อการร้ายพิเศษ ร่วมกับตำรวจบุกค้นบ้านหลายหลังที่เมืองบันดุง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงจาการ์ตา สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดได้ 2 คน ส่วนผู้ต้องสงสัยชายอีกคนถูกจับกุมได้ที่ย่านจิมาฮี ในเมืองบันดุงเช่นเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่ยังพบเอกสารคำสอนอิสลามและอาวุธมีด ทั้งนี้ ตำรวจระบุว่า ระเบิดที่ใช้เป็นหม้อแรงดันสูง คล้ายกับที่สมาชิกกลุ่มเจเอดี ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นเชื่อมโยงกลุ่มไอเอสเคยใช้ก่อเหตุที่เมืองบันดุงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ครั้งนั้นคนร้ายจุดระเบิดในสวนสาธารณะแล้ววิ่งเข้าไปในที่ทำการรัฐบาล ก่อนถูกตำรวจยิงวิสามัญ

คุมตัวต้องสงสัยเอี่ยวบึ้มอังกฤษ 8 ราย

ส่วนความคืบหน้าเหตุระเบิดฆ่าตัวตายกลางคอนเสิร์ต อาเรียนนา แกรนเด ในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 22 รายนั้น สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงติดตามไล่ล่าเครือข่ายมุสลิมที่เกี่ยวพันกับลิเบียที่คาดว่าอยู่เบื้องหลังเหตุครั้งนี้ และสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้เพิ่มเติมอีก 1 ราย ในเขตมอสไซด์ชานเมืองแมนเชสเตอร์ ทำให้จนถึงขณะนี้มีชาย 8 คนที่ยังคงถูกควบคุมตัวไว้ ภายหลังจากที่ชาย 1 คนและหญิง 1 คนได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ได้ตั้งข้อหา

เผยมือระเบิดโทร.ขอโทษแม่ก่อนบึ้ม

ด้านเว็บไซต์เดอะ ซัน หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ชื่อดังของอังกฤษ รายงานว่า นายซัลมาน อาเบดี วัย 22 ปีชาวอังกฤษเชื้อสายลิเบีย ซึ่งเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตายที่ก่อเหตุที่เมืองแมนเชสเตอร์ ของอังกฤษ ได้โทรศัพท์ไปหานางซาเมีย แทบบัล แม่ของเขาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ ที่ประเทศลิเบีย และบอกแม่ว่า ‘ยกโทษให้ผมด้วย’ ก่อนลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญไม่กี่ชั่วโมง ทำให้หลังจากนั้น ผู้เป็นแม่รวมทั้งพ่อของเขาในกรุงทริโปลีของลิเบีย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวมาสอบถามเรื่องราวของ นายอาเบดี โดยแม่ของเขาได้เผยกับตำรวจว่า ลูกชายได้โทรศัพท์มาหาเธอ และพูดคุยกันนานถึง 15 นาที ก่อนจะลงมือก่อเหตุ ขณะที่โฆษกของตำรวจหน่วยปราบปรามพิเศษยังอ้างว่า นางซาเมียได้เผยว่า ซัลมาน ลูกชายของเธอ ได้เดินทางออกจากลิเบียไปยังอังกฤษ เพียง 4 วันก่อนลงมือก่อเหตุ

ผงะ! บึ้มอดีตนายกฯ กรีซสาหัส

วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ได้เกิดเหตุลอบวางระเบิดด้วยจดหมายในรถยนต์ “ลูคัส ปาปาเดมอส” อดีตนายกรัฐมตรี และประธานธนาคารกลางกรีซ ได้รับบาดเจ็บระหว่างที่เขากำลังอ่านจดหมายบนเบาะหลังของรถ ซึ่งนอกจาก นายปาปาเดมอส แล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตัวของเขา 2 คนก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม อดีตประธานธนาคารกลางกรีซ วัย 69 ปีรายนี้ อยู่ในรถเมอร์เซเดสกันกระสุนที่ได้รับมอบจากธนาคารกลาง จึงช่วยจำกัดความเสียหายจากอานุภาพของแรงระเบิดได้ในระดับหนึ่ง โดยเขาถูกนำตัวส่งเข้ารับการผ่าตัดรักษาบาดแผลบริเวณท้องและขา ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเอเธนส์เป็นการด่วน และอาการปลอดภัยแล้ว

จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กลุ่มอนาธิปไตยกรีซ ได้ส่งจดหมายระเบิด ที่ทำให้เลขานุการประจำกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)คนหนึ่ง ในกรุงปารีส ได้รับบาดเจ็บ

ที่มา:http://www.naewna.com/

27 พฤษภาคม 2560

เปิดโปงใคร!! คือผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มติดอาวุธภาคใต้


เพจ:แฉความลับ โดยเสธน้ำเงิน ได้เขียนถึงที่มาของกลุ่มติดอาวุธในชายแดนภาคใต้เอาไว้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้....

สภาพปัญหาชายแดนใต้ของไทย (ประกอบไปด้วย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอที่ติดชายแดนมาเลเซีย ของจังหวัดสงขลา อันได้แก่ อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ความรุนแรงที่มีประชาชนในพื้นที่ ช่วง 10 ปี ที่ผ่านมานี้ เกิดเหตุกว่า 9 พันครั้ง
ตายเกือบ 6 พันราย เจ็บกว่า 1 หมื่นราย ทหารเสียชีวิตกว่า 500 นาย ตำรวจกว่า 300 นาย ครูเกือบ 200 ราย ใช้งบประมาณแก้ปัญหาประมาณปีละ 2 หมื่นล้านบาท สามารถวิเคราะห์สรุปปัญหาความรุนแรง ถึงปัจจุบันได้ 4 ช่วงเวลา คือ

1. ระยะแรก (ก่อนปี 2544)..มาเลเซียต้องการยึดครอง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีอังกฤษให้การสนับสนุน จากความต้องการทางการเมืองที่เคยถูกสยามยึดและควบรวมดินแดนสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีผู้สั่งการก่อความรุนแรง สั่งมาจากมาเลเซีย คือ อดีตสุลต่าน หรืออดีตกษัตริย์รัฐปัตตานี , กลุ่มวาดะห์ ร่วมกับ กลุ่มเบอร์ซาตู
ระยะนี้สถาบันเบื้องสูงไทย ได้มีบทบาทคลี่คลายสถานการณ์เบาบางลง เนื่องจากสถาบันเบื้องสูง 2 พระองค์ ได้ทรงไปพบหารือกับพระราชาธิบดีของมาเลเซีย จึงมีการจับกุมอาวุธ ผู้ก่อการในมาเลเซีย

2. ระยะต่อมา ( ปี 2544 – 2549 )..คนแดนไกลเป็นนายกฯ มีการสั่งให้ใช้นโยบาย กำปั้นเหล็กโดยการ อุ้ม ฆ่า ผู้ที่สงสัยก่อความรุนแรง และมีการสังหารหมู่คนมุสลิมจำนวนมาก เช่น กรณีปิดล้อมสังหารในมัสยิดกรือเซะ , กรณีสังหารหมู่ผู้ประท้วงที่โรงพักตากใบ , การอุ้มฆ่าทนายสมชาย และ แกนนำในพื้นที่ๆ คนมุสลิมนับถืออีกจำนวนมาก..เพียงแค่สงสัย !!

เค้าลางต่อมาตั้งแต่ปี 49 คนแดนไกลเริ่มคิดแผนแบ่งประเทศไทย ออกเป็นหลายประเทศ หรือ การแบ่งแยกดินแดน โดยใช้วาดะห์ และมีการสร้างกลุ่มติดอาวุธลับๆ ที่แยกตัวมาใหม่ อีกหลายกลุ่ม เช่น BRN ฯลฯ ประจวบกับเกิดขบวนการค้าของผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด ค้าน้ำมันเถื่อน เข้ามาผสมโรงกัน

3. ระยะกลาง ( ปี 2550 – 2555 )..ทั่วโลกการแย่งชิงแหล่งพลังงานกำลังเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก เพราะพลังงานในตะวันออกกลางใกล้จะหมด ในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ก็จะเกิดวิกฤติพลังงานขึ้น ประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจ จึงมุ่งหน้าใช้สรรพกำลังเต็มอานุภาพในการแย่งชิงกันอย่างหนัก และชิงแหล่งพลังงานในอ่าวไทย ในบล็อกที่ 3 “ที่เป็นส่วนหางของแหล่งน้ำมันที่เชื่อมต่อเป็นสายพลังงาน มาจากหมู่เกาะสแปรตลีย์

สหรัฐฯ ถึงกับขอรัฐบาลปูเน่า มาตั้งฐานตรวจอากาศในไทย โดยเป้าหมายแท้จริงๆ 2 ประการ คือ ประการแรกเป็นจุดที่ใช้ไทยเป็นสงครามตัวแทน ก่อสงครามหยุดยั้งการแผ่อิทธิพลจีนในเอเซียใต้ ถึงขนาดรีบส่งผู้บัญชาการทางทหารมาไทยทันที และประการสองเพื่อสำรวจแหล่งพลังงานในทะเลจีนใต้ ตรงหมู่เกาะสแปรตลีย์ รวมทั้งในอ่าวไทยในบล็อกที่ 3 ใกล้จังหวัดชายแดนใต้จุดนี้ด้วย

หากผู้ใดได้สิทธิการครอบครอง อ่าวไทยในบล็อกที่ 3 ก็จะมีมูลค่าโคตรมหาศาลมากกว่า 7 แสนล้าน-ล้านบาทที่เดียว เผาไทยจึงมีความพยายาม ทำท่าจะสมยอมกับเขมร ให้ไทยเสียเขาพระวิหาร
ถึงกับส่งคนไปเจรจากับวีระ ในคุกเขมรถึง 3 ครั้ง เพื่อให้ยอมรับว่ารุกดินแดน จะได้เป็นข้ออ้าง รวบรัดยกดินแดนให้เขมร เป็นต้นเหตุที่ทำให้ ทั้งมาเลเซีย และเขมร พยายาม ที่จะอ้างสิทธิเข้าครอบครองพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ทับซ้อนกับไทย ทำให้เขมรมีการอ้างเขตแดนเขาพระวิหารไปฟ้องศาลโลกซ้ำ โดยมีฝรั่งเศสหนุนหลัง
แต่ศาลโลกไม่ได้ฟันธงให้เขมรชนะ แค่ให้ 2 ประเทศไปหารือตกลงกันแบบสันติ ประเทศไทยจึงไม่ถูกฉีกแบ่งแยกดินแดนเขาพระวิหารทันที และแผนที่ละติจูด ลองติจูด เพียงแค่ 1 องศาตรงบนยอดเขาพระวิหาร จุดแบ่งดินแดนเท่านั้น อาจจะส่งผลให้เขมร ได้พื้นที่ในทะเลแหล่งพลังงานไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผลีผลามไม่ได้ จะขัดมติศาลโลก และเกิดสงครามรบพุ่งกัน

คนเอามัน ก็ยุให้ไทยใช้กำลังทหารบุกไปเอาดินแดนคืนมาเลย คิดเช่นนั้นก็ขอเกณฑ์ทุกคนที่พูดเหล่านั้นเป็นทหารแนวหน้า ติดอาวุธให้แล้วส่งเดินหน้าออกรบชายแดนไปเลยสัก 1 ปี จะได้เข็ดไม่พุดเอามันอย่างเดียว เพราะการสู้รบกันมันใช้ในยามผู้นำประเทศ พูดกันไม่รู้เรื่องแล้วเท่านั้น และทหารทั้ง 2 ฝ่ายก็ตาย ญาติก็เสียใจ

ราษฎรตลอดแนวชายแดน ไม่เฉพาะจุดสู้รบ เดือดร้อนหมด ลูกปืนใหญ่ตกใส่หลังคาบ้าน นักเรียนต้องหลบในบังเกอร์หลบภัย แต่คนที่ยุ ด่ากราด ตะโกน หรือโพส กลับอยู่ในกรุงเทพ ไม่คิดถึงจิตใจทหาร และชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง แนวชายแดนตาดำๆ

ถ้านึกภาพไม่ออก ให้ดูฉนวนกาซ่า ว่าสภาพเป็นอย่างไรเวลาเกิดสงคราม และตอนนี้ ไทย เขมร มีสัมพันธ์ดีต่อกัน กระทรวงกลาโหมของไทย เพิ่งต้อนรับ พล.อ.เตีย บัน รมต.กลาโหม กัมพูชา และคณะอย่างสมเกียรติ ตอกย้ำความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ระหว่าง 2 ประเทศ เพราะมีตั่วเฮียจีนเป็นกาวใจ คอยปรามเขมรไว้

ดังนั้นเรื่องดินแดน ต้องใช้คณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นระหว่าง 2 ประเทศ (JBC) ประชุมเจรจากันไป ตรงไหนเห็นตรงกัน ก็ปักปันเขตแดนไปเรื่อยๆ จุดใดเห็นต่างกันก็เว้นไว้ ไม่มีใครได้ดินแดนพิพาทไปทั้งสิ้น ตามที่มีบางพวกยังโพทบิดเบือนด่ากราดยุยงอยู่ คนที่ไม่รู้ก็หลงเชื่อ จะทะเลาะยิงกันไปทำไม ในเมื่อสงครามใหญ่จากชาติตะวันตกจะมา ภัยร้ายแรงกว่าเขตแดนอีกมากนัก

4. ระยะปัจจุบัน ( ปี 2556 – ปัจจุบัน )..ระยะนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงรูปแบบใหม่ เพราะมีต่างชาติตะวันตก ตะวันออกกลาง เพื่อนบ้าน (อินโดฯ , มาเลย์ ) และคนแดนไกล รู้เรื่องแหล่งพลังงานในจังหวัดชายแดนใต้นี้ด้วย จึงผสมโรงกันหลายกลุ่ม ปนเปไขว้กันไปหมด เช่น
      4.1 กลุ่มต่างชาติตะวันตก และเครือข่ายนักแสวงโชคทางการเมือง สั่งการก่อการร้าย โดยก่อความรุนแรงกับคนไทยพุทธ และมุสลิมหนักข้อขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่อยู่อาศัยหวาดกลัว และยอมขายที่ดิน ละทิ้งถิ่นฐานอพยพไปอยู่ที่อื่น (คล้ายๆ ยิงระเบิดไล่ที่ปาเลสไตน์ว่างั้นเถอะ) จากนั้น ก็จะไปกว้านช้อนซื้อที่ดิน จากคนท้องถิ่นเหล่านั้น มาเป็นของตนเอง

ชาติตะวันตก ต้องการจุดชนวนสงครามกลางเมือง ในดินแดนจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ให้ลุกลามไปมาเลย์เซีย เพื่อทำให้จุดแถบนี้ สถานการณ์สู้รบเป็นยูเครนแห่งที่ 2 จากนั้น อเมริกา อังกฤษ ก็จะหาเหตุเข้ามาแทรกแซง และยึดช่องแคบมะละกาไว้ เพื่อสยบจีนคล้ายๆ เขาทำตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแหละ

เพราะใครยึดช่องแคบมะละกา ที่เป็นจุดเชื่อมต่อของโลกตะวันออก กับโลกตะวันตก ได้เบ็ดเสร็จ โอกาสกำชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็มีมากกว่านั่นเอง การรบกันนอกจากทางบก อากาศ อย่างไรเสียสงครามทางทะเล ก็จะเป็นจุดชี้ขาดชัยชนะสงครามได้ เหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2

ระยะนี้เกี่ยวพัน คนแดนไกล คือ เขาไปที่อังกฤษ เอาผลประโยชน์ชาติน้ำมันในอ่าวไทยในเขต จังหวัดชายแดนใต้ แลกกับอำนาจ เพื่อร้องขอให้อังกฤษสั่งการมาเลเซีย ที่เคยอดีตเมืองขึ้น ให้ร่วมมือกลับกลุ่มวาดะห์ของเผาไทย ก่อการร้าย และให้ลุกลามไปตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เบตง หาดใหญ่ และลามมา กรุงเทพ ฯ

เมื่อ 3 ตระกูลร้ายเผาไทย ออกนอกประเทศ การก่อวินาศกรรม ที่เบตง ยะลา จึงเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไปดูย้อนหลังหลายปีที่เขาหนีอยู่ต่างประเทศ จะพบการก่อเหตุเป็นประจำปีทุกครั้ง ก่อนและหลังวันเกิดของเขา เพื่อให้สอดคล้องเนียนๆ ไปกับเดือนรอมดอน ของอิสลาม

      4.2 กลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน ศัตรูคนมุสลิม เช่น กลุ่ม BRN , RKK ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครที่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า มันเกิดจากสาเหตุใด มีเพียงข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ เช่น เกิดจากความขัดแย้งทาง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน ถัดมากลุ่มนี้ฝึกอาวุธที่อินโดนีเซีย ปากีสถาน โดยกลุ่มอัลกออีดะห์ ทุนหนุนจากซาอุบางส่วน และมีทุนจากเครือข่ายน้ำมันเถื่อนด้วย

แรกเริ่มเดิมทีกลุ่มนี้ เป็นคนไทยมุสลิม ที่มีความรู้สึกว่า ตัวเองและพวกพ้อง ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากทางการ จึงร่วมมือกัน เพื่อแยกยินแดนแถบนี้เป็นรัฐอิสระ โดยใช้ข้ออ้างเรื่องศาสนา ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมบางส่วนถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ ด้วยการถูกล้างหัวให้เชื่อด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และทำการแข็งข้อกับทางการ จนถูกจับกุมดำเนินคดี

พอถูกดำเนินคดี ก็ใช้จุดนี้เป็นจุดร่วม ในการเพิ่มหรือขยายแนวร่วมให้เพิ่มและกว้างออกไป แรกๆ ก็ขอเงินช่วยเหลือจากแถบตะวันออกกลาง เช่น ซาอุฯ เพื่อเคลื่อนไหว แต่ต่อมากลายเป็นว่านำเงินเหล่านั้น มาก่อความรุนแรง ที่มิใช่แนวทางแห่งมุสลิม ประเทศตะวันออกกลาง ที่เคยให้การสนับสนุนด้านการเงิน ก็ลดการสนับสนุนลง

การก่อเหตุแต่ละครั้งต้องใช้เงิน การทำคาร์บอมแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายกว่า 150,000 บาท ระยะหลังไม่ใช่เรื่องความต้องการแบ่งแยกดินแดนแล้ว แต่มันคือผลประโยชน์จากเงินล้วนๆ ขัดกับหลักคำสอนของศาสนาอิลลาม ดังนั้นจึงขอเรียกว่า กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม เพราะทำให้คนมุสลิมดีๆ อีกมากที่เขาอยู่ร่วมกับชาวพุทธด้วยสันติ พลอยเสียหายไปกับกลุ่มหิวเงินนี้ด้วย

หลักฐานเรื่องนี้ คือ จากเหตุก่อการร้ายล่าสุด ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม 4 คน ขี่มอเตอร์ไซต์ 2 คัน ตามประกบรถยนต์เก๋ง ส.ต.ต.อัสมิง ยูโซ๊ะ ตำรวจ สภ.โกตาบารู ถูก ส.ต.ต.อัสมิง ขับรถเบียดกลุ่มติดอาวุธล้ม 1 คัน ในระหว่างนั้นทหาร ฉก.นธ.30 ได้เข้ามาช่วยเหลือ และยิงตอบโต้กับกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ทำให้คนร้ายเสียชีวิต จำนวน 3 คน มีประวัติดังนี้

- นายซอฟวัน สาแล๊ะ เคยโดนจับ 1 ครั้ง และให้การสารภาพว่า เป็นเจ้าของรถกระบะที่ใช้ขนปืน จากเหตุปล้นปืนทหาร เมื่อ 19 ม.ค.2554 และยังนำไปสู่การจับกุม ค้นปืน และระเบิด หลังบ้านพ่อตาเขา จนออกออกหมายจับ และได้รับการประกันตัว จนหนีประกันไป
- อับดุลเลาะ ยูนุ๊ แนวร่วมระดับสั่งการในฟื้นที่
- นายมะยูดิง หะยีสะนิ เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการกลุ่มแบ่งแยกดินแดนศัตรูคนมุสลิม RKK
- ส่วน นายอับดุลรอพา สาและรู เป็นลูกเขยโต๊ะอิหม่าม ยะผา กาเซ็ง (เสียชีวิต ภายในวัดสวนธรรม อ.รือเสาะฯ ระหว่างควบคุมตัว ปี 2549) เคยโดนควบคุมตัวแล้ว 1 ครั้ง ผลการซักถามให้การปฏิเสธ และปล่อยตัว ล่าสุดกลางปี 2556 ร่วมก่อเหตุลอบยิง ตำรวจ.สภ.รือเสาะ เสียชีวิต 4 นาย (จากภาพวงจรปิด และผลการซัดทอด) ผลการปะทะครั้งนี้ เขาบาดเจ็บ และหลบหนีไปได้ จาก DNA รองเท้าแตะ และหยดเลือดในที่ปะทะ

กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิตทุกคน สวมนาฬิกาแบบเดียวกัน ยี่ห้อ Timemax “ (หน้าปัดเขียนว่า Timax Expedition) ที่ข้อมือขวาของทั้ง 3 คน ตั้งเวลาตรงกัน แสดงเชิงสัญลักษณ์ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ นาฬิการุ่นนี้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์บอกฝ่าย ของ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ที่ผ่านการฝึกระดับคอมมานโด

ในรุ่นแรกๆ จะเป็นสมาชิกที่เป็นนักศึกษาไปเรียนศาสนาที่อินโดนีเซีย แล้วเข้ารับการฝึกที่ เมืองบันดุง ทางตอนใต้ของเกาะชวา ต่อมาฝ่ายยุทธการของ BRN. Co-ordinate ได้นำหลักสูตรคอมมานโด มาฝึกให้กับสมาชิกกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม เพื่อก่อเหตุรุนแรงในประเทศไทย

โดยจะคัดเลือกสมาชิกที่ผ่านการฝึก RKK มาแล้ว เพื่อทำงานด้านการการรบโดยเฉพาะ และมีหน้าที่รับผิดชอบ ในการควบคุมการปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรงของสมาชิก RKK โดยเป็นการปฏิบัติงานที่รุนแรงสูงขึ้น เป้าหมายที่ใหญ่ และมีความเสียหาย เดือนร้อนกับคนมุสลิมมากๆ ครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น และยังปฏิบัติงานข้ามเขตรับผิดชอบกันได้

      4.3 กลุ่มผลประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าหนีภาษี..กลุ่มนี้ผลประโยชน์ล้วนๆ เป็นผู้จ้างกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ให้ก่อการร้าย อีกที หรือมีเจ้าหน้ารัฐส่วนน้อยที่ทำเพราะความโลภ โดยจะก่อความรุนแรงเพื่อเปิดเส้นทางขนของเถื่อน โดยเฉพาะน้ำมันเถื่อนเป็นหลัก เมื่อใดที่หัวหน้าขบสนการค้าน้ำมันเถื่อนถูกจับ สถานการณ์ก็จะรุนแรงขึ้นทันที
ในโลกนี้เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ก็หิวเงินเพื่อเอาใช้ในการดำเนินการก่อความรุนแรง เป็นค่าแรงผู้ปฏิบัติ ค่าจ้าง ค่าวัสดุ-อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ รถมอเตอร์ไซต์ และ รถยนต์ ค่าน้ำมันในการเดินทาง ถ้ามีแต่อุดมการณ์ แต่ไม่มีเงินก็คงไม่มีวันบรรลุผลได้

ดังนั้นแหล่งเงินที่อุดมสมบูรณ์ ก็คือ สินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน และยาเสพติด ที่เป็นสิ่งผิดกฎหมายของไทย ปัจจุบันปัจจัยนี้ คือ ปัจจัยหลักของความรุนแรงในปัจจุบัน และสินค้าหนีภาษีก็ยังแยกย่อยออกเป็นชนิดให้ผลประโยชน์สูง กับ ผลประโยชน์น้อย แต่เสี่ยง
ผลประโยชน์น้อย แต่เสี่ยงมาก คือ สินค้าหนีภาษี กลุ่มนี้รู้ว่าคงได้เงินไม่มาก สำหรับคนไฮโซอย่างพวกเขาเลยไม่เอา เรื่องยาเสพติด กลุ่มนี้ใช้เพื่อเสพเป็นหลัก เพราะต้องใช้ย้อมใจให้ฮึกเหิมก่อนลงมือ แต่ไม่ใช่ผู้ค้ารายใหญ่ เพราะถูกจับได้ก็ไม่คุ้มกัน เพราะหากถุกจับปริมาณมากๆ ล้อตใหญ่ๆ มีสิทธิ์ถูกประหารชีวิตได้

ผลประโยชน์มาก เสี่ยงน้อย คือ น้ำมันเถื่อน เพราะทำให้สามารถหาทุนเคลื่อนไหวรวยขัดหลักศาสนาได้มากกว่า โทษที่จะได้รับหากโดนจับกุมจะเบามาก แค่ติดคุกไม่กี่ปี ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ได้ ก็พอๆ กับการค้ายาเสพติด กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จึงคิดว่า ค้าน้ำมันเถื่อนคุ้มค่ากว่า

เดิมปัญหาเรื่องน้ำมันเถื่อนมีมานานแล้ว โดยมีชาวประมงเป็นผู้ใช้ ไปซื้อเติมกันกลางทะเล ต้นทุนการหาปลาก็จะถูกลง ชาวประมงก็ได้จะกำไรสูงกว่าชาวประมงในพื้นที่อื่น ถ้านำมันเถื่อนเหลือ ก็นำมาขายต่อไปอีกทอดหนึ่ง จนแพปลาบางแห่ง ถึงกับลงทุนดัดแปลงเรือหาปลา เพื่อตบตาตำรวจน้ำ ให้ดูภายนอกเหมือนเรือหาปลา แต่ภายในบรรทุกน้ำมันเถื่อนเต็มลำเรือ

ปลาไม่หาแล้ว เอาน้ำมันเถื่อนมาขายที่บนฝั่ง เมื่อแพปลาโน้นทำได้ แพปลานี้ก็เอาบ้าง กลายเป็นหลายแห่งทำ เพราะเอามาขายเท่าไรก็หมด แต่ในหลาย ๆ แห่งก็มีปัญหาเรื่องตำรวจน้ำเข้มงวดบ้าง ฝนฟ้าอากาศบ้าง ทำให้ต้องออกไปเอาน้ำมันเถื่อนกลางทะเลมาทีละเยอะ ๆ ซึ่งอาจขายไม่หมด จึงต้องหาที่เก็บน้ำมันบนบก ที่เรียกว่า คลังน้ำมันเถื่อน

คนในพื้นที่ติดชายแดนไทย - มาเลย์ รู้ดีว่า ราคาน้ำมันที่ฝั่งมาเลย์ ถูกกว่าฝั่งไทยราว 10 กว่าบาท เลยทำทีเป็นนักท่องเที่ยวขับรถข้ามพรมแดนไปเติมน้ำมันในฝั่งมาเลเซีย แล้วก็ขับกลับมาไทย เวลากลับเข้าไทยตอนผ่านด่านก็ตรวจสอบไม่ได้ด้วยว่าเถื่อนหรือไม่ คนในพื้นที่จึงนิยมใช้น้ำมันมาเลย์มากกว่า

พ่อค้าน้ำมันเถื่อน นอกจากจะนำน้ำมันเถื่อนเข้ามาจากทางทะเลแล้ว ยังดัดแปลงรถบรรทุกน้ำมันข้ามเขตแดน ขนได้เที่ยวละหลายพันลิตร แหล่งนำเข้าน้ำมันเถื่อนทางบกอีกทาง ก็คือน้ำมันถูกกฎหมายจากมาเลย์ แต่ลักลอบนำเข้าไทยแบบผิดกฎหมายโดยไม่ต้องจ่ายภาษีนั่นเอง

ทำให้น้ำมันที่ถูกกฎหมายของไทย ผลิตส่งมาขายไม่ค่อยดี ทำให้น้ำมันค้างอยู่ในคลังน้ำมันสงขลาในปริมาณมาก และ นานเกินไป เมื่อต้องเร่งระบายน้ำมันเหล่านั้นออกไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เมื่อนั้นการก่อเหตุวางระเบิดในหาดใหญ่ และบางอำเภอในสงขลา จะเกิดขึ้นทันที เพื่อบล็อกน้ำมันถูกกฎหมายเลหลังของไทย ไม่ให้ไปแย่งตลาดน้ำมันเถื่อน

คนที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันเถื่อน คือ กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ชาวประมงที่ใช้น้ำมันเถื่อน รถขนส่งสินค้าที่ใช้น้ำมันเถื่อน ชาวบ้านที่เติมน้ำมันเถื่อน ได้ประโยชน์กันทั่วหน้า อ้างว่าน้ำมันในประเทศแพง จึงจำเป็นต้องใช้น้ำมันเถื่อน ผู้ที่เสียประโยชน์ คือ ประเทศไทย และ คนไทยทุกคน เนื่องจากขาดรายได้จากภาษีน้ำมัน ที่ควรจะถูกนำไปเป็นงบประมาณแผ่นดิน และสูญเสียโอกาสพัฒนาประเทศ

แต่ด้วยคลังน้ำมันเถื่อน จะต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องหากลุ่มติดอาวุธมาคุ้มกัน จนกว่าจะลำเลียงไปส่งขายหมด ส่วนกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนเอง ก็จำเป็นต้องพึ่งพา กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม พวกนี้เป็นอย่างยิ่ง ในการทำธุรกิจน้ำมันเถื่อน เริ่มตั้งแต่รับน้ำมันเถื่อนเข้าเก็บในคลัง , คุ้มครองคลังน้ำมัน , ลำเลียงน้ำมันไปยังลูกค้าปลายทาง

ปมมันปัญหามันอยู่ที่ การจะขายน้ำมันเถื่อนให้ได้กำไรมาก ๆ ต้องขายภายไทยเท่านั้น !! เพราะราคาน้ำมันเถื่อนในไทย ถูกกว่าน้ำมันที่ถูกกฎหมาย ราวลิตรละ 10 กว่าบาท ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีรถยนต์ และจักรยานยนต์ จดเบียนประมาณ 1.2 ล้านคัน และยังมีรถขนส่งสินค้าที่จรไปส่งของจากที่อื่นเข้าเติมน้ำมันอีก

จึงมีความต้องการใช้น้ำมันสูงมาก พ่อค้าน้ำมันเถื่อนจึงรวย ถ้าวันหนึ่งสามารถลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปส่งถึงผู้รับช่วงขายได้วันละ 1 แสนลิตร จะได้กำไรวันละ 1 ล้านบาท ความเสี่ยงหลักที่ทำให้ธุรกิจน้ำมันเถื่อนหยุดชงัก คือ ถูกทางการจับกุม ดังนั้นพ่อค้าน้ำมันก็ไปติดสินบนกับ เจ้าหน้าที่รัฐที่เก็บภาษี และมีนิสัยขี้โกงชาติบางส่วน ให้ทำเป็นไม่เห็นเมื่อรถส่งน้ำมันผ่านด่าน

ระหว่างทาง ก็ไปจ้างกับกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม เพื่อคุ้มครองการลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปยังที่หมายปลายทาง แล้วแบ่งผลกำไรกัน วิธีนี้ก็ความเสี่ยงธุรกิจก็ลดลงจนแทบไม่มี เมื่อไหร่ก็ตามที่รถลำเลียงน้ำมันเถื่อนโดนยึด หรือถูกจับกุม กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จะอาละวาด ฟาดหัว ฟาดหาง ทันที

ให้สังเกตดูได้ทุกครั้งที่มีการปฏิบัติการกวาดล้าง ตรวจค้น พื้นที่ หรือ จับกุม ของหนีภาษีและน้ำมันเถื่อน ก็จะมีเหตุการณ์ตอบโต้เสมอๆ เช่น วางระเบิดย่านชุมชน และให้ดูที่สำคัญอีกอย่างจะแปลกใจมาก คือ คลังน้ำมันเถื่อน ธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อน รถขนน้ำมันเถื่อน กลับไม่เคยถูกลอบโจมตีเลยสักครั้ง จากกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม แปลกแต่จริงใช่ไหม?? นี่คือสิ่งบ่งชี้ความเกี่ยวพันกัน..ถึงบอกว่า "เรื่องบังเอิญ ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น"

กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน กับ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จึงไม่สามารถแยกจากกันขาด เพราะหากขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายก็เดี้ยง ทุกอย่างจบกัน รูปแบบ 2 กลุ่มนี้ จึงคล้ายน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า พ่อค้าน้ำมันเถื่อนได้กำไรมาก กลุ่ม กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งจากพ่อค้าในสัดส่วนมากไปด้วย ทำให้ธุรกิจน้ำมันเถื่อนเจริญเติบโตได้

เมื่อเป้าหมายของทั้งสองกลุ่มตรงกัน คือ เงิน ดังนั้น กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม อ้างแถข้างๆ คูๆ ว่า ต้องหาเงินจากน้ำมันเถื่อน เพื่อเอามาก่อความรุนแรงแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ ส่วนกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน ก็อยากได้เงินรวยมากๆ ขึ้นไปอีก ต้องค้าน้ำมันเถื่อนให้ได้ปริมาณมาก ๆ จะได้กำไรมากๆ

แต่กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนก็ฉลาด หากยอมให้ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ได้เงินไปมากเกินไป สักวันพวกนี้อาจสามารถแบ่งแยกดินแดนได้ กลุ่มพ่อค้าก็จะเสียประโยชน์อีก เช่น หากแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ นโยบายเรื่องราคาน้ำมันภายในรัฐอิสระนั้น จะเป็นเหมือนกับไทยหรือไม่ก็ไม่รู้

ดังนั้นพ่อค้าน้ำมันเถื่อนเอง ก็คิดหาวิธีต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ก่อการร้ายจนแบ่งแยกดินแดนได้สำเร็จ คือ แสร้งสร้างฉากให้เห็นว่าลึกๆ แล้ว ทั้งสองกลุ่มนี้ขัดแย้งกันในเป้าหมาย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

โดยปกติแล้วการก่อการร้ายทั่วโลก ในทันทีเมื่อก่อการร้ายเสร็จแล้ว จะมีการออกข้อเรียกร้องว่าจะให้ทางการทำอะไรบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยุติการก่อเหตุแบบนั้น แต่กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ของไทย ไม่เคยออกมาเรียกร้องอะไรเลยอย่างเป็นทางการแม้แต่ครั้งเดียว นั่นก็เพราะพวกเขาได้ทรยศกระทำผิดหลักศาสนาอิสลาม มัวเมาหลงติดกับเงินและอำนาจเข้าแล้ว

ทำให้กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเอง ก็พึงพอใจที่ไม่ต้องแยกดินแดนให้สำเร็จ เพราะจะเสียโอกาสสร้างผลกำไร ปัจจุบันเลยกลายเป็นว่า สร้างสถานการณ์เพื่อข่มขู่ชาวบ้าน และทางการให้หวาดกลัว เบี่ยงประเด็น จะได้ไม่สนใจปราบปรามการค้าน้ำมันเถื่อนก็เท่านั้นเอง ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม อะไรเลยเพียงแม้เสี้ยวของเส้นผม

ดังนั้นกลุ่มติดอาวุธ BRN , RKK หรือจะกลุ่มใดด็ตาม เปลี่ยนชื่อกลุ่มไปเถอะ เป็นชื่อ SIO ( Safeguard of illegal oil ) จะได้ตรงวัตถุประสงค์ของกลุ่มจริงๆ ก็จุดประสงค์คล้ายกลุ่ม IS , เคิร์ด ในอิรัก , อัลนุสรา ในซีเรีย ที่มีภารกิจหลักคือการปกป้องแหล่งน้ำมันของผู้ว่าจ้าง

ในเวลานี้ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จึงพยายามสร้างความหวาดกลัวให้เต็มพื้นที่อิทธิพล เพื่อให้ชาวบ้านได้ยินชื่อ แล้วกลัวตายจนไม่กล้าเปิดตัวร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นเป็นข้อคิดเตือนใจคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไต้ของไทย (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางอำเภอ ของจังหวัดสงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย)
อย่าร่วมมือกับ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม เพราะถ้าขืนนักการเมืองในอนาคตเกิดยอมให้แยกดินแดนได้จริง ๆ ขึ้นมา ก็ยังต้องไปทะเลาะต่อสู้กันเองอีก ชีวิตท่ามกลางห่ากระสุนปืนใหญ่ จะไม่ต่างจากชาวปาเลสไตน์ในฉนวนการซ่า


ที่มาเพจ:แฉความลับ

24 พฤษภาคม 2560

ทีมงูเต๊ะ คือสมุนกลุ่มผลประโยชน์ BRN


เมื่อ 24 พ.ค.60 เวลา 19.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายไม่ทราบชื่อและจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิงราษฎรเสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อคือ นายอับดุลรอมัน แวจิ อยู่บ้านเลขที่ 69/1 ม.7 ต.ดอนรัก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี

แหล่งข่าวในพื้นที่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกว่า นายอับดุลรอมัน แวจิ เคยยิงกับโจรใต้เมื่อปี 47 และเคยถูกกลุ่มคนร้ายลอบยิงเมื่อปี 48 ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มขบวนการโจรใต้ BRN และในที่สุด นายอับดุลรอมัน แวจิ ก็หนีไม่พ้นความตาย ถูกทีมงูเต๊ะตามเก็บซึ่งต่อจากนี้ไปคอยเฝ้าจับตาสื่อขบวนการโจรใต้จะมีการบิดเบือนข้อมูลกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

ทีมงูเต๊ะ คือ ทีมสมุนกลุ่มผลประโยชน์ธุรกิจมืดของกลุ่มขบวนการ BRN จากการที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ว่าทีมงูเต๊ะคือทีมล่าสังหารของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจริงๆ แล้ว สื่อแนวร่วมต้องการสื่อให้เห็นว่าเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นเกือบทุกวันว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ เช่น การยิงกันเสียชีวิตของคนในพื้นที่ , คนร้ายขับรถมายิง จากการรวบรวมข้อมูลหลักฐานพบว่า การก่อเหตุของคนร้ายทุกครั้งที่ก่อเหตุ มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจมืดของกลุ่มขบวนการทั้งสิ้น เช่น น้ำมันเถื่อน ค้ายาเสพติด สินค้าหนีภาษี ค้าไม้เถื่อน การเรียกค่าคุ้มครองในพื้นที่ ดังเช่น การระเบิด Big C เรียกค่าคุ้มครอง 6 ล้าน และยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องจบลงเพราะไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองให้กับขบวนการ และยังมีการฆ่าปิดปากชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ และยังรับก่อเหตุฆ่ารายวันเพื่อสร้างสถานการณ์อีกด้วย

ทีมงูเต๊ะนั้นมีมานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์ จะสังเกตได้ว่าเหตุการณ์รุนแรงการก่อเหตุรายวัน ก็เพราะช่วง 8 ปีแรกๆ นั้น คนในพื้นที่ไม่ยอมจ่ายเงินสนับสนุนและเงินค่าคุ้มครองให้กับกลุ่มขบวนการ เช่น การบีบบังคับการบริจาคเงินของคนในพื้นที่, การก่อเหตุเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อทำให้คนในพื้นที่กลัวยอมจ่ายเงินให้กับกลุ่มขบวนการ จึงทำให้กลุ่มขบวนการเองต้องมีทีมรักษาผลประโยชน์ของตนไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสนับสนุนการก่อเหตุ แต่ระยะ 5 ปี หลังเริ่มก่อเหตุฆ่ารายวัน เริ่มลางๆ ออกไป ก็เพราะกลุ่มขบวนการเองได้เงินสนับสนุนจากธุรกิจมืดดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น

ปัจจุบัน หลังจากการกวาดล้างธุรกิจมืดของกลุ่มขบวนการอย่างหนักของเจ้าหน้าที่ ทำให้กลุ่มขบวนการบางคนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านในพื้นที่เองแจ้งแบะแสทำให้เจ้าหน้าที่สามารถจับธุรกิจมืดเป็นรายวัน ทำให้ทีมงูเต๊ะ ก็ต้องฆ่ารายวันเช่นเดียวกันเพื่อรักษาผลประโยชน์มหาศาลของกลุ่มขบวนการไว้ แหละนี้ก็คือข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มขบวนการ BRN มีการจัดทีมล่าสังหารผู้ที่ขัดขวางผลประโยชน์ของตนเองและฆ่าได้แม้แต่กลุ่มของตนเองที่ทำให้เสียประโยชน์ นั้นก็คือ ทีมงูเต๊ะ

การจัดตั้งทีมงูเต๊ะ สำหรับการจัดตั้งทีมล่าสังหารเพื่อผลประโยชน์ธุรกิจมืดของกลุ่มขบวนการ มีการจัดตั้งแนวร่วมจำนวนไม่มาก แต่เน้นจัดตั้งแนวร่วมที่มีปัญหาส่วนตัว มีระดับของสติปัญญาและฐานะทางครอบครัวและเศรษฐกิจด้อยกว่าคนอื่น ในหมู่บ้าน เช่น กลุ่มเยาวชนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและกลุ่มคนที่เกี่ยวของกับธุรกิจมืดโดยเฉพาะน้ำมันเถื่อน มีการจัดตั้งหัวหน้าควบคุมแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้การก่อเหตุทุกครั้งจะเน้นเยาวชนที่เข้าร่วมกับกลุ่มขบวนการ เพราะเวลาก่อเหตุเสร็จก็จะยากต่อการสืบหา เพราะในสารบบเจ้าหน้าที่ไม่มีข้อมูล การก่อเหตุทุกครั้งยังเป็นการฝึกทดสอบเยาวชนของกลุ่มขบวนการก่อนจะเข้าเป็น RKK ของกลุ่มขบวนการอีกด้วย การยิงนกปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ได้ทั้งเงินทอง ได้ทั้งกำจัดเสี้ยนหนามของกลุ่มขบวนการเอง ได้ทั้งโยนความผิดให้กับเจ้าหน้าที่ ได้ทั้งฝึกเยาวชนที่เข้าร่วมขบวนการของตัวเอง

แผนอันชั่วช้าของกลุ่มขบวนการ BRN ทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ความสูญเสียต่อคนมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้


กลุ่มทีมงูเต๊ะ ก็ยอมทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มขบวนการให้อย่างไม่ลืมหูลืมตาก้มหน้ารับใช้ BRN กับผลประโยชน์ที่แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ของกลุ่มขบวนการที่อยู่บนความสูญเสียกับคราบน้ำตาของคนในพื้นที่

12 พฤษภาคม 2560

เปิดข้อมูลใหม่!!!สืบจากพื้นที่ "คาร์บอมบ์บิ๊กซี"หวังผล ศก.โยง "KFC" เผยลึก!กลุ่มอิทธิพลก๊วน BRN ส่งสมุนรีด 6 ล้านแต่ห้างไม่ยอมจ่าย???


จากกรณีเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่ห้างบิ๊กซี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 พ.ค.60 ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว และที่น่าตกใจก็คือผู้ก่อเหตุมีตำแหน่งเป็นถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และขณะเดียวกันประเด็นเรื่องบีอาร์เอ็นคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุยังคงถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะหากไปเปิดดูข่าวในพื้นที่กับ ความจริงจากจังหวัดชายแดนใต้ หรือ pulony.blogspot.com ที่ขึ้นหัวข้อข่าวว่า เมื่อ BRN วางแผนสังหารหมู่ประชาชน เชื่อมโยงกลุ่มทุนมุ่งทำลายเศรษฐกิจ” โดยในเนื้อหาได้มีการชูประเด็นการต่อสู้ทางเศรษฐกิจในพื้นที่ขึ้นมาเป็นสาเหตุหลักในการก่อเหตุคาร์บอมบ์เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมาอย่างน่าสนใจ

ทั้งนี้โดยเริ่มตั้งแต่แผนการทำลาย คู่แข่งทางเศรษฐกิจ ของกลุ่มทุนนอกพื้นที่อย่างเช่น KFC ที่ยอดขายดีมากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และติดยอดขายดี1ใน3ของประเทศ โดยเฉพาะกับ KFC ห้างบิ๊กซี สาขาปัตตานี มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่มีความเชื่อมโยงกับขบวนการ BRN ส่งกลุ่มบุคคลเข้าไปข่มขู่ และเรียกเก็บเงิน6ล้านบาท แต่ทางบิ๊กซีไม่ยอมจ่าย สุดท้ายมีการเคลื่อนไหวอ้าง KFC ไม่มีเครื่องหมายฮาลาล และบีบคั้นกดดันทุกวิถีทาง มีการปลุกระดมไม่ให้คนมุสลิมในพื้นที่กินไก่KFC สุดท้าย KFC ต้องยกเลิกการขายในพื้นที่ จ.ชายแดนภาคใต้ทุกสาขา และเมื่อมีการถอน KFC ออกไปจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีไก่ทอดของประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเปิดดำเนินการแทน


เช่นเดียวกันกับห้างบิ๊กซี สาขาปัตตานี ที่มีประชาชนแห่ไปใช้บริการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากซึ่งทั้งหมดก็ดูจะเป็นไปตามแผนการที่ได้วางไว้ เพื่อครอบครองในเรื่องผลประโยชน์ทั้งหมดในพื้นที่ ซึ่งในสื่อท้องถิ่นระบุว่าแผนการดังกล่าวนี้ เป็นของกลุ่มขบวนการ BRN ที่ต้องการหวังผลทำลายคู่แข่งทางเศรษฐกิจ และเพื่อสนับสนุนกลุ่มทุนของตนเอง เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุก็มีความเคลื่อนไหวทางธุรกิจหนึ่งในพื้นที่เกิดขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้นประเด็นๆ นี้ที่ถูกเปิดออกมาจากสื่อท้องถิ่นจึงน่าสนใจ และถือเป็นเรื่องที่คนภายนอกอาจมองข้าม เพราะคงคิดแต่เพียงว่าเมื่อมีการก่อเหตุความรุนแรงก็คงหนีไม่พ้นกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ที่หวังผลทางด้านการเมืองเท่านั้น.


ที่มา: http://www.tnews.co.th/

11 พฤษภาคม 2560

เปิด “เบอร์ญีฮาด ดิ ปัตตานี”เจอคำตอบ ! ระเบิดบิ๊กซี ทำไมโจรใต้ไม่แคร์ผู้บริสุทธิ์ –ไม่สนโลกประณาม


เหตุระเบิด ห้างบิ๊กซี ปัตตานี เมื่อบ่ายวันที่ 9 พฤษภาคม 2560  ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากไม่เลือกเพศ วัย และศาสนา โดยผู้ก่อเหตุ ปรับเป้าหมายไปที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์แทนเจ้าหน้าที่ของรัฐ และแม้กลุ่มผู้ก่อเหตุจะประเมินผลที่ตามมาได้ว่า จะต้องเผชิญกับปฏิกิริยาด้านลบ โดยเฉพาะเมื่อเป็นความสูญเสียที่เกิดต่อเด็กและสตรี ที่เป็นชาวมุสลิมด้วย   แต่ก็ยังเดินหน้าก่อเหตุ โดยที่กลุ่มโจรใต้ ไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิด ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นการต่อสู้ในหนทางของศาสนาหรือ ญีฮาด เพื่อแบ่งแยกดินแดน ของผู้ศรัทธาที่แท้จริง  ตามแนวทางคำสอนของผู้นำ 

โดยเบื้องหลังของความคิดความเชื่อนี้ ยืนยันได้จาก เอกสาร เบอร์ญีฮาด ดิ ปัตตานีหรือ การต่อสู้ (ในทางศาสนา) ที่ปัตตานี”  ซึ่งเขียนขึ้นด้วยลายมือเป็นภาษามลายู จำนวน 65 หน้า เนื้อหาปลุกความรู้สึกชาติพันธุ์นิยม โดยนำเอาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และคำสอนของศาสนา มาเป็นเครื่องมือในการสร้าง หรืออธิบายความชอบธรรมในการก่อความรุนแรง ทั้งนี้ทางการไทยยึดเอกสารดังกล่าวมาได้ตั้งแต่ปี 2547  และส่งให้สำนักจุฬาราชมนตรี ศึกษาหาทางแก้ไข และชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบไปแล้วก่อนหน้านี้


อย่างไรก็ตามเนื้อหาในเอกสาร ได้ตีแผ่ให้เห็นเบื้องหลังความคิดของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไฟใต้ โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวกับ การทำสงคราม ญีฮาดซึ่งตอบคำถามความรุนแรงที่เกิดกับเป้าหมายประชาชนผู้บริสุทธิ์ครั้งล่าสุดได้เป็นอย่างดี
แนวคิดอีกประการหนึ่งในเอกสารนี้คือ การพยายามแบ่งคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกเป็นสามกลุ่มกลุ่มแรกคือ ผู้ที่เห็นด้วยและว่าการต่อสู้ตามแนวทางดังกล่าว เพื่อแบ่งแยกดินแดนถือว่าเป็นมุสลิมที่ถูกต้อง เป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง (มุอ์มีน) และถ้าหากเขาได้ร่วมต่อสู้และตายไปพวกเขาคือ "ชะฮีด" กลุ่มที่สองคือ บรรดามุสลิมผู้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขา เขาเรียกมุสลิมกลุ่มนี้ว่า คนทรยศกลับกลอก (มุนาฟิก) แม้คนกลุ่มนี้จะปฏิบัติศาสนาอย่างเคร่งครัด ดำเนินชีวิตอยู่ในหลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง คนกลุ่มที่สามคือ ผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เขาเรียกว่า คนนอกศาสนา (กาฬิร หรือมุชริก) ดังนั้น หน้าที่ของคนกลุ่มแรกคือ ขจัดคนกลุ่มที่สอง และสามให้สิ้นซาก ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วย และขัดขวางพวกเขา เป็นคนทรยศให้ฆ่าเสียซึ่งอิสลาม (ตามทัศนะของคนกลุ่มนี้) อนุญาตให้ฆ่าได้คนกลุ่มนี้คำชี้แจงของสำนักจุฬาราชมนตรีระบุ


ทั้งนี้เอกสารดังกล่าวได้เรียบเรียงโดยแบ่งเป็นวัน ๆ รวมเจ็ดวัน หรือเจ็ดขั้นตอนดังนี้     
     
วันที่ 1  ปลุกใจให้ฮึกเหิม ให้เห็นว่าการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดน เป็นการต่อสู้ในทางศาสนา
วันที่ 2  ปลุกใจให้คนที่ต่อสู้ว่าอย่าได้กลัว เพราะคนที่ต่อสู้เพื่อให้ได้ดินแดนคืนมา หากเขาตายก็จะตายอย่างนักรบ ศักดิ์สิทธิ์หรือชะฮีด 
วันที่ 3 ขยายผลจากวันที่ 2 ในแนวคิดเกี่ยวกับคนทรยศ (มุนาฟิก) ชี้ให้เห็นว่ามุสลิมคนใดก็ตาม แม้จะเคร่งครัดในการปฏิบัติศาสนาเพียงใด แต่ถ้าไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้ ตามแนวทางของพวกเขา ก็ต้องถือเป็นคนทรยศ หรือมุนาฟิก (คนกลับกลอก) ซึ่งต้องตกนรก 
วันที่  4 ได้เสนอแนวทางการปฏิบัติตน เริ่มตั้งแต่การปฏิบัติต่อผู้ร่วมดำเนินการการเชื่อฟังผู้นำ ความกล้าหาญในการฆ่าศัตรู และให้มีความอดทนในการก่อการต่าง ๆ 

บทบัญญัติในคัมภีร์กุรอ่านที่นำมาอ้างในวันที่ 4
                    บทบัญญัติ  3:151  (ซูเราะฮ์ ที่ 3  อาละอิมรอน  อายะฮ์ที่ 151)
                    "เราจะโยนความกลัวเข้าไปในหัวใจของบรรดาผู้ที่ปฎิเสธศรัทธาเหล่านั้น เนื่องจากการที่พวกเขาให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์ ซึ่งสิ่งที่อัลลอฮ์มิได้ให้หลักฐานใด ๆ มายืนยันในสิ่งนั้น และที่อยู่ของพวกเขาคือ ขุมนรก ช่างเลวร้ายจริง ๆ ซึ่งที่อยู่ของบรรดาผู้อธรรม "
                    บทบัญญัติ 3:28  (ซูเราะฮ์ที่ 3  อาละอิมรอน  อายะฮ์ที่ 28)
                    "ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้นจงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฎิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดามุมิน และผู้ใดทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮ์ นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน (ให้พ้นอันตราย)  จากพวกเขาจริง ๆ เท่านั้น และอัลลอฮ์เตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงในอัลลอฮ์ และยังอัลลอฮ์นั้นคือ การกลับไป (ของพวกเจ้า)

                    บทบัญญัติ 3:118  (ซูเราะฮ์ที่ 3  อาละอิมรอน  อายะฮ์ที่ 118)
                    "ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาเพื่อนสนิทที่รู้เห็นกิจการภายในอื่นจากพวกของเจ้าเอง ซึ่งเขาเหล่านั้น จะไม่ลดละแก่พวกเจ้า ในการก่อความเสียหายให้เกิดขึ้น พวกเขาชอบการที่พวกเจ้าลำบาก แท้จริงความเกลียดชังต่าง ๆ ได้เผยออกมาแล้ว จากปากของพวกเขา และสิ่งที่หัวอกของพวกเขาซ่อนไว้นั้น ใหญ่ยิ่งกว่าแน่นอน เราได้แจกแจงบรรดา บทบัญญัติไว้แก่พวกเจ้าแล้ว หากพวกเจ้าใช้ปัญญากัน"

                    บทบัญญัติ 8:46   (ซูเราะฮ์ที่ 8  อัล อัมฟาล  อายะฮ์ที่ 46)
                    "และจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และรอซูลของอัลลอฮ์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จะทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำความเข็มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย"

                    บทบัญญัติ  4:19  (ซูเราะฮ์ ที่ 4  อัน - นิซาอ์  อายะฮ์ที่ 19)
                    "ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ไม่อนุมัติแก่พวกเจ้า การที่พวกเจ้าจะเอาบรรดาหญิงเป็นมรดกด้วยการบังคับ และไม่อนุมัติเช่นเดียวกัน การที่พวกเจ้าจะขัดขวางบรรดานางเพื่อพวกเจ้าจะเอาบางส่วนของสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง นอกจากว่าพวกนางจะกระทำสิ่งลามก อันชัดแจ้งเท่านั้น และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันอัลลอฮ์ก็ให้มีในสิ่งนั้น ซึ่งความดีอันมากมาย"

                    บทบัญญัติ 2:190  (ซูเราะฮ์ที่ 2  อัล - บะเกาะเราะฮ์  อายะฮ์ที่ 190)
                    "และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และจงอย่ารุกราน แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ชอบบรรดาผู้รุกราน"

 บทบัญญัติ 2:191  (ซูเราะฮ์ที่ 2  อัล - บะเกาะเราะฮ์  อายะฮ์ที่ 191)
                    "และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขา ออกจากที่ ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และก่อความวุ่นวายนั้น ร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัล - มัสยิดิลฮะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้ายพวกเจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้ว ก็จงประหัตประหารพวกเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือ การตอบแทนแก่ผู้ปฎิเสธศรัทธา"

                    บทบัญญัติ 2:193  (ซูเราะฮ์ที่ 2  อัล - บะเกาะเราะฮ์  อายะฮ์ที่ 193)
                    "และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฎขึ้น และจนกว่าการ อิบาดะฮ์ ทั้งหลายจะเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น แต่หากพวกเขายุติ ก็ย่อมไม่มีการเป็นปฎิปักษ์ใด ๆ นอกจากแก่บรรดาผู้อธรรมเท่านั้น"

                    บทบัญญัติ 2:195  (ซูเราะฮ์ที่ 2  อัล - บะเกาะเราะฮ์  อายะฮ์ที่ 195)
                    "และพวกเจ้าจงบริจาคในทางของอัลลอฮ์ และจงอย่าโยนตัวของพวกเจ้าสู่ความพินาศและจงทำดีเถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ชอบผู้ทำดีทั้งหลาย"

                    บทบัญญัติ 9:20  (ซูเราะฮ์ที่ 9  อัต - เตาบะฮ์  อายะฮ์ที่ 20)
                    "บรรดาผู้ที่ศรัทธา และอพยพ และต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ทั้งด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา และชีวิตของพวกเขา ย่อมเป็นผู้มีลำดับชั้นยิ่งใหญ่กว่า ณ ที่อัลลอฮ์ และชนเหล่านยี้แหละพวกเขาคือผู้มีชัยชนะ"

                    บทบัญญัติ 3:200  (ซูเราะฮ์ที่ 3  อาละอิบรอน  อายะฮ์ที่ 200)
                    "บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จะมีความอดทนและจงต่างอดทนซึ่งกันและกัน และจงประจำอยยู่ชายแดน และพึงเกรงกรัวอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าบจะได้รับความสำเร็จ"

วันที่ 5  เป็นการปลุกความรู้สึกการต่อสู้และชี้ให้เห็นถึงโทษ หรือบาปของผู้ที่ไม่ยอมออกไปต่อสู้ร่วมกับพวกเขา พยายามปลุกให้ฮึกเหิม โดยให้เชื่อว่าการต่อสู้ของพวกเขานั้น พระเจ้าจะอยู่ข้างพวกเขา 
 วันที่ 6  เป็นการปลุกให้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนออกปฏิบัติการ โดยเริ่มตั้งแต่การขออภัยโทษในความผิดบาปของตน (เตาบะฮ์) ให้มีความรู้สึกรักการตายในหนทางของศาสนาไม่มีความเกรงกลัวภัยใด ๆ เพราะได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้าแล้ว

วันที่ 7  สร้างความมั่นใจให้กับผู้ปฏิบัติการว่า อาจมีมุสลิมบางคนไม่เห็นด้วย ก็ขออย่าได้กังวล เพราะพระเจ้าได้ประทับตราให้หัวใจพวกเขามืดบอด ไม่สามารถเห็นสัจธรรมได้ ไม่ต้องกังวลต่อการฆ่าคนนอกศาสนา และให้ปฏิบัติดีต่อมุสลิม โดยอธิบายว่า การฆ่าคนนอกศาสนา และแม้แต่การฆ่าญาติพี่น้องพ่อแม่ ก็สามารถทำได้ เพราะเป็นการสร้างความโปรดปรานแก่พระเจ้า

ทั้งนี้บทบัญญัติในคัมภีร์กุรอ่านที่นำมาอ้างในวันที่ 7  คือ
                    บทบัญญัติ 3:139  (ซูเราะฮ์ที่ 3  อาละอิมรอน  อายะฮ์ที่ 139)
                    "และพวกเจ้าจงอย่าท้อแท้ และจงอย่าเสียใจ และพวกเจ้านั้นคือ ผู้ที่สูงส่งยิ่ง หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา"
                    บทบัญญัติ 3:150  (ซูเราะฮ์ที่ 3  อาละอิมรอน  อายะฮ์ที่ 150)
                    "แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหากคือผู้ช่วยเหลือพวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ดีเยี่ยมในบรรดาผู้ช่วยเหลือทั้งหลาย"
                    บทบัญญัติ 5:47  (ซูเราะฮ์ที่ 5  อัล - มาอิดะฮ์  อายะฮ์ที่ 47)
                    "และบรรดาผู้ที่ได้รับ อัล - อินญีล  ก็จงตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ให้ลงมาในนั้น และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วย สิ่งที่อัลลอฮ์ได้ให้ลงมาแล้ว ชนเหล่านั้นคือ ผู้ที่ละเมิด "
                    บทบัญญัติ 8:17  (ซูเราะฮ์ที่ 8 อัล - อัมฟาล  อายะฮ์ที่ 17)
                    "พวกเจ้ามิได้ฆ่าพวกเขาแต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหากที่ฆ่าพวกเขา และเจ้ามิได้ขว้าง ขณะที่เจ้าขว้าง แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหากที่ขว้าง และเพื่อว่าวอัลลอฮ์จะทดสอบบรรดาผู้ศรัทธาอย่างงดีงามจาออัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นได้ยิน รอบรู้"
                    บทบัญญัติ 4:58  (ซูเราะฮ์ที่ 4  อัน - มิซาอ์  อายะฮ์ที่ 58)
                    "แท้จริงอัลลอฮ์ใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของของมัน และเมื่อพวกเจ้าตัดสินด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮ์แนะนำด้วยเจ้าด้วยสิ่งซึ่งดีจริง ๆ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ได้ยินและเห็น"
                    บทบัญญัติ 5:9  (ซูเราะฮ์ที่ 5  อัล - มาอิดะฮ์  อายะฮ์ที่ 9)
                    "และอัลลอฮ์ได้สัญญาแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธา และประกอบสิ่งที่ดีงามทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้นคือการอภัยโทษ และรางวัลอันยิ่งใหญ่"

เรียบเรียงโดย
ชรินทร์ แช่มสาคร : สำนักข่าวทีนิวส์