29 เมษายน 2560

เคลื่อนศพ 6 ทหารกล้ากลับบ้านเกิด...รู้ตัวโจรชั่วลอบระเบิดแล้ว!


เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เคลื่อนศพทหารกล้าทั้ง 6 นาย ด้วยเครื่องบิน ซี-130 จากหมวดบินเฉพาะกิจภาคใต้ กองทัพเรือ ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส ไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด โดยศพของ ส.อ.พรชัย เคลื่อนไปบ้านเกิด จ.ยโสธร อส.ทพ.ธารา เคลื่อนไป จ.นครสวรรค์ อส.ทพ.ธนะพงษ์ เคลื่อนไป จ.ระยอง อส.ทพ.วีรวิทย์ เคลื่อนไป จ.สุรินทร์ อส.ทพ.มาโนช เคลื่อนไป จ.แม่ฮ่องสอน และ อส.ทพ.ยุทธยงค์ เคลื่อนไป จ.สกลนคร ทั้งนี้ ได้มอบเหรียญบางระจันและเงินเยียวยาในเบื้องต้นรายละ จำนวน 500,000 บาท แก่ตัวแทนทหารกล้าทั้ง 6 นาย


จากการติดตามและประเมินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวความมั่นคงในพื้นที่ จ.นราธิวาส เชื่อว่าเป็นฝีมือการกระทำของ นายสูดี ปูเต๊ะ แกนนำระดับปฏิบัติการณ์ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุอยู่ในพื้นที่ อ.สุคิริน และรอยต่อของ อ.จะแนะ รวมทั้ง อ.ระแงะ บางส่วน ซึ่งถูกออกหมายจับในคดีร่วมก่อเหตุปล้นรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีบรอนซ์ ทะเบียน บฉ 7685 นราธิวาส ในพื้นที่ ต.ผดุงมาตร อ.จะแนะ ในวันที่ 30 มีนาคม 2560 มาใช้เป็นพาหนะในการก่อเหตุยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ระแงะ ขณะยืนรับนโยบายจาก พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ ผกก.สภ.ระแงะ บริเวณหน้าเสาธง ซึ่งเหตุครั้งนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย และคนร้ายกลุ่มนี้เชื่อว่าน่ามีส่วนร่วมในการก่อเหตุ บุกยิงนายบุญเลิศ จินดาธนนันท์ ปลัด อบต.ร่มไทร อ.สุคิริน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมาด้วย.


23 เมษายน 2560

ผู้ต้องสงสัยปล้นรถยนต์ขับฝ่าด่านหลบหนีจนมุมเจ้าหน้าที่รวบตัวที่ธารโต


จากกรณีที่มีคนร้ายได้โจรกรรม รถยนต์กระบะมิตรซูบิชิ สีดำ ทะเบียน บง 7507 สตูล เลขเครื่อง 4D56DD1120 เลขตัวรถ K14CK-02139 เหตุเกิดบริเวณข้างแขวงการทางยะลา ฝั่งตลาดสดพิมลชัย ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา เป็นของ นายวีรยุทธ  เดชนุ่น อยู่บ้านเลขที่ 223 ม.1 ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล

โดยเหตุดังกล่าวเกิดเมื่อเวลา 01.40 น. วันที่ 22 เม.ย.60 คนร้ายได้นำรถยนต์ที่ได้ขโมยขับมุ่งหน้าไปยังมาลายูบางกอก บ้านพงยือไร มุ่งหน้าไปยัง อ.กรงปินัง จากการตรวจสอบ ปรากฏพบผ่านหน้า สภ.บันนังสตา น่าจะไปประกอบระเบิดแถว ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา

เมื่อเวลาประมาณ 16.41.น. ปรากฏผ่านหน้า ค่ายทหาร ร.152 พัน 1 มุ่งหน้าเข้าธารโต และเวลาประมาณ 18.30 น. สภ.บาตูตาโมง , ชคต.ถ้ำทะลุ, ร้อย.ทพ.3307 ได้ติดตามไล่ล่ารถต้องสงสัยดังกล่าว ซึ่งคนร้ายได้จอดรถแล้ววิ่งหนี บริเวณถนนสาย 410 บ้านคลองน้ำขุ่น ม.5 ต./อ.บันนังสตา จ.ยะลา ขณะกำลังมุ่งหน้าไปยะลา


เมื่อ 23 เม.ย. 60 เวลา 06.00 น. ฉก.ทพ.33 ได้จัดกำลังร่วมกับ ร้อย.ทพ.3307 จำนวน 2 ชป. เข้าตรวจสอบและติดตามคนร้ายในพื้นที่เกิดเหตุ ได้ตรวจพบกระเป๋าใส่เงิน (กระเป๋าสตางค์) และรองเท้า บริเวณที่คนร้ายได้วิ่งหลบหนี อยู่ในโพรงหญ้าข้างถนน 410 ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 30 เมตร ในกระเป๋าใส่เงิน พบบัตรประชาชน ชื่อ นายฮาบือเสาะ ตงซง อยู่บ้านเลขที่ 169/2 ม.2 (บ้านผ่านศึก) ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา

ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ศปก.อ.บันนังสตา, ศปก.อ.ธารโต, ฉก.ทพ.33, สภ.บันนังสตา, สภ.ธารโต และ นปพ.ร่วมจังหวัดยะลา 47, นปพ.ร่วมเชิงรุก 41 เข้าทำการเข้าเชิญตัวบุคคลต้องสงสัย และทำการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 2 พื้นที่ โดยอาศัยอำนาจ พรบ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457

จุดแรกเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ บ้านผ่านศึก ม.2 ต.คีรีเขต อ.ธารโต จ.ยะลา ผลการตรวจค้น พบโครงเหล็กที่ถูกถอดวางไว้ข้างทาง และ พบแผ่นป้ายทะเบียน บง 7507 สตูล อยู่บนต้นมังคุด ห่างจากโครงเหล็กประมาณ 10 เมตร



จุดที่สองเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่บ้านหน้าเกษตร ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เมื่อ นายฮาบือเสาะ ตงซง อายุ 30 ปี เห็นเจ้าหน้าที่ได้วิ่งหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ในขนำบริเวณท้ายหมู่บ้านหน้าเกษตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งให้มอบตัว ซึ่งนายฮาบือเสาะฯ ก็ได้ยอมมอบตัวแต่โดยดีจึงควบคุมตัว นายฮาบือเสาะ ตะซง ผู้ต้องสงสัยที่ทำการปล้นรถยนต์และนำไปดัดแปลงสภาพขับฝ่าด่านตำรวจ สภ.ธารโต จ.ยะลา นำไปลงบันทึกประจำวัน และส่งตัวไปยังหน่วยซักถาม ของ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ต่อไป.

21 เมษายน 2560

เจ้าหน้าที่เผย 2 ศพโจรใต้เป็น “ไส้ศึก”สวมรอยเป็น ชรบ.


พบหัวโจกระดับแกนนำคุมกำลังซุ่มกบดานใน สะบ้าย้อยรอจังหวะป่วนใหญ่อีกหลายระลอก

มี เยาวชน-เครือข่ายบีอาร์เอ็นร่วมด้วย เจ้าหน้าที่เผย 2 ศพโจรใต้เป็น ไส้ศึกสวมรอยเป็น ชรบ.คอยส่งข่าว จนท.ให้แนวร่วม ด้าน ผบ.ทบ.ฮึ่ม! ประกาศเอาคืนแน่

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เรียก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เข้ารายงานสถานการณ์ โดยใช้เวลาเข้าพบประมาณ 40 นาที จากนั้น พล.อ.เฉลิมชัย ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ต่อมา ที่กระทรวงกลาโหม เวลา 14.00 น. พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อมโยงกับเหตุการณ์การก่อเหตุระเบิด 40 จุดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถหาเหตุผลในการก่อเหตุได้ชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติทราบว่าผู้ที่เสียชีวิตส่วนหนึ่งมีข้อมูลว่าได้ร่วมก่อเหตุในห้วงเวลาที่ผ่านมา
ในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเข้ามอบตัวกับแม่ทัพภาคที่ 4 จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กลุ่มคนร้ายเกิดความหวั่นไหว และพยายามที่จะดำรงสถานะของตัวเองอยู่ ในส่วนของผมจะพยายามกำชับและบังคับบัญชาให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก และ จะต้องดำเนินการในเรื่องของการโต้ตอบให้ได้ผบ.ทบ.กล่าว
อนึ่งจากข้อมูลเชิงลึกพบว่า 1 ใน 2 รายโจรใต้ที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิดใส่ตัวเองนั้นพบประวัติ นายมะบีดี ลามะดอ ที่ไม่ธรรมดา เป็นแกนนำในการปลุกระดมชาวบ้านต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ ทำการสร้างสถานการณ์ก่อกวนและก่อความไม่สงบโดยการโปรยใบปลิวข่มขู่ประชาชนตามหมู่บ้านเป็นผู้คอยแจ้งข่าวสารและสังเกตความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่ และแจ้งเบาะแสไปยังแกนนำ

ที่สำคัญ นายมะบีดี ลามะดอ ใช้วิธีการแฝงตัวสวมรอยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ของหมู่ 6 บ้านกอแลปิเละ จากผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ท่านหนึ่ง เพื่อเป็นไส้ศึกส่งข่าวสารไปยังกลุ่มขบวนการ.

20 เมษายน 2560

กรรมตามสนองโจรใต้เกิดระเบิดใส่ตัวเองดับก่อนขนระเบิดก่อเหตุ

"นายกะลา"


ข่าวสถานการณ์ไฟใต้ในห้วงนี้ยังคงเกาะติดกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นที่ทำการลอบกัดทำการป่วนเมือง 13 จุด 12 อำเภอ 3 จังหวัดในคืนวันที่ 19 เมษายน 2560

รูปแบบการก่อเหตุมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดีเหมือนมีการนัดหมายด้วยการสั่งสมาชิกแนวร่วมในพื้นที่ทำการขว้างระเบิด อีกทั้งทำการใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเข้าใส่จุดตรวจ จุดสกัด บ้านพักของทางราชการ ตลอดจนอาคารบ้านช่องของประชาชน

ในขณะที่หลายพื้นที่ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ต่างโกลาหลในการระวังป้องกันและติดตามคนร้ายอยู่นั้น เวลา 20.00 น.ได้รับแจ้งมีเหตุระเบิดขึ้นบริเวณถนนสายบ้านสูโส๊ะ – บ้านไร่ หมู่ที่ 5 ต.สะบ้าย้อย จ.สงขลา

เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบพบว่าในที่เกิดเหตุมีโจรใต้เสียชีวิต 2 ราย คาดว่าทั้งสองคนกำลังขับขี่รถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ทะเบียน ขกค 927 ปัตตานี เป็นยายพาหนะ เพื่อนำระเบิดแสวงเครื่องไปทำการก่อเหตุในพื้นที่ แต่ในระหว่างนั้นได้เกิดระเบิดขึ้นเสียก่อนจนทำให้เสียชีวิตทั้งคู่


ในเวลาต่อมาทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายมะบีดี  ลามะดอ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 6 บ้านกอแลปิและ ตำบลปะกาฮะรัง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี พฤติกรรม เป็นสมาชิกระดับแนวร่วมในพื้นที่ และ นายมะซากี  เจะเละ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/12 หมู่ 5 ตำบลธารคีรี อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา พฤติกรรม เป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรง ระดับหัวหน้าชุดปฏิบัติการ

ประวัติความชั่วนายมะบีดี  ลามะดอ


นายมะบีดี ลามะดอ เป็นสมาชิกระดับแนวร่วมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ และได้ผ่านการสาบานตนมาแล้ว โดยทำการทำซูมเปาะ จากบาบอเจะอูมา หะยีอูมา เคยเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มสมาชิกระดับแกนนำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปลุกระดมประชาชนโดยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้กลุ่มสมาชิกมีทัศนคติต่อต้าน ขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจ ด้วยการเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ของปัตตานี เพื่อให้ได้มาซึ่งกลุ่มสมาชิกเข้าร่วมขบวนการ

อีกทั้ง นายมะบีดี ลามะดอ  เป็นผู้คอยแจ้งข่าวสารและสังเกตความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐ และจะแจ้งข่าวสารต่าง ๆ ให้กับหัวหน้าสมาชิกระดับแกนนำ หัวหน้าสมาชิกระดับผู้ปฏิบัติ และหัวหน้าสมาชิกระดับแนวร่วมเพื่อใช้ในการวางแผนการก่อเหตุ

การแฝงตัวได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งรักษาความปลอดภัย (ชรบ.) ของหมู่ 6 บ้านกอแลปิเละ จากผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ท่านหนึ่ง เชิงลึกทำการสร้างสถานการณ์ก่อกวนและก่อความไม่สงบโดยการโปรยใบปลิวข่มขู่ประชาชนตามหมู่บ้าน บริเวณบ้านปะกาฮะรัง ม.7 และมัสยิดซึ่งไม่ให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ


สำหรับรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุตรวจสอบแล้วเป็นของ นายรอมาลี  แจ๊ะมะสอ อายุ 53 ปี เป็นอดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 ตำบลธารคีรี อำเภอสะบ้าย้อย จากการสอบสวนในเบื้องต้นให้การว่า นายมะซากี  เจะเละ ได้ยืมไป สำหรับ นายรอมาลีฯ ตรวจสอบแล้วไม่เคยเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน แต่อย่างใด.

19 เมษายน 2560

เด็กมลายูผู้น่าสงสาร ต้องเป็นเครื่องมือให้กับคนชั่ว…

ผู้หวังดี


เด็กและเยาวชนคือความบริสุทธิ์ใสซื่อ ไร้เดียงสา เปรียบเสมือนผ้าขาวที่รอสีมาทาบนผืนผ้าผืนนั้น อนาคตจะดีจะชั่วขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและองค์ประกอบทางสังคม ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

เด็กและเยาวชนคือเป้าหมายของกลุ่มขบวนการที่ต้องการปลูกฝังแนวความคิด ความเชื่อให้หลงผิดส่งผลให้เกิดความก้าวร้าวคิดแปลกแตกต่างจากเด็กเยาวชนทั่วๆ ไป จนกระทั่งไปสู่การคิดร้ายทำการก่อเหตุสร้างปัญหาให้กับบ้านเกิดเมืองนอน

ห้วงเวลาปิดภาคเรียนของโรงเรียนในพื้นที่ เป็นห้วงเวลาที่เด็กและเยาวชนมีเวลาว่างจากการศึกษาเล่าเรียน จะมีกลุ่มแอบแฝงจัดโครงการอบรมต่างๆ ขึ้นมา ชื่อโครงการสวยหรูดูดีเพื่อตบตาผู้ปกครอง มีการเชิญชวนกึ่งบังคับทำการกวาดต้อนเด็กๆ ให้ไปเข้าร่วมหลักสูตรภาคฤดูร้อนในหมู่บ้าน ซึ่งในแนวความคิดผู้ปกครองส่วนใหญ่จะเห็นดีเห็นงามด้วยเนื่องจากดีกว่าให้ลูกหลานอยู่ว่างๆ โดยไม่มีอะไรทำ ส่วนใหญ่ผู้จัดอบรมมักจะเป็น เปอร์มูดอ ที่คอยจัดหลักสูตรตาดีกาในห้วงปิดภาคเรียน แต่ได้มีการแทรกเนื้อหาในเรื่องชาติพันธุ์ปาตานี ปลูกฝังความเป็นตัวตนของมลายูโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตาม......ผู้ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองก็อย่าละเลยในการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด ลูกหลานจะต้องอยู่ในสายตาของเรา ในเมื่อลูกหลานของเรานิสัยดี เรียนเก่ง คิดว่าอนาคตไปได้ไกล ความหวังของพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนอยากให้ลูกประสบความสำเร็จด้วยการศึกษาที่ดี จบมามีงานทำ แต่....ในบางครั้งต่อหน้าเราลูกอาจจะมีพฤติกรรมเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย ลับหลังเราไม่รู้ด้วยซ้ำลูกอาจจะเป็นสมาชิกแนวร่วมจากโรงเรียนตาดีกาเหล่านั้น เนื่องจากผู้ที่มาทำการสอนอาจจะเป็นระดับแกนนำที่ต้องการสมาชิกแนวร่วมที่เป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งได้ใช้วิธีสกปรกให้ลูกหลานเราทำการซุมเปาะห์สาบานตน

ฉะนั้น....จึงเป็นบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคน ที่จะต้องระแวดระวังและเฝ้าคอยสังเกตพฤติกรรมเป็นพิเศษ หากไม่ต้องการให้ลูกหลานตัวเองต้องตกเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องมือของเหล่ากลุ่มขบวนการโจรใต้ ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองละเลยเรื่องนี้ แล้วใครล่ะจะเป็นผู้สังเกตพฤติกรรมของลูกเรา หากเราไม่สังเกตจะรู้ก็ต่อเมื่อลูกหลานเราถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวดำเนินการซักถามแล้วยอมเปิดเผยตัวตนว่าตัวเองเป็น สมาชิกแนวร่วม กระนั้นหรือ?


....อนาคตของลูกหลานเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งและจะต้องไปอีกไกลตามรอยฝัน บางคนเรียนเก่งสอบเอ็นติด วิศวะ ติดแพทย์ พยาบาลฯลฯ แต่ไปเล่าเรียนศึกษาต่อไม่ได้ จะต้องละทิ้งความฝันตัวเองเพราะเคยซุมเปาะห์มาต้องทำงานให้กับกลุ่มขบวนการ BRN จนกระทั่งส่งผลต่ออนาคตเสียผู้เสียคน เราในฐานะเป็นพ่อแม่จะยอมให้ลูกหลานต้องสูญเสียอนาคตหรือ!!....ซึ่งที่ผ่านมามีตัวอย่างให้เห็นมาโดยตลอดที่จะต้องจบสิ้นอนาคตเช่นนี้.....

16 เมษายน 2560

ผลตรวจ DNA คนร้ายป่วนใต้ระเบิดเสาไฟฟ้าฝีมือ ผกร.ในพื้นที่นำเข้าชิ้นส่วนระเบิดจากมาเลย์



กรณีเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้ามากกว่า 52 ต้น ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อคืนวันที่ 6 เมษายน 2560 และต่อเนื่องในค่ำคืนวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เก็บชิ้นส่วนระเบิดในที่เกิดเหตุส่งตรวจยังศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10)

ความคืบหน้าในการการตรวจพิสูจน์หลักฐานจากที่เกิดเหตุ พบ DNA จากแผงวงจร มีความเชื่อมโยงกับผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ที่เคยก่อคดีหลายคดีด้วยกัน


จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นแผงวงจรระเบิด ที่คนร้ายที่ลงมือก่อเหตุลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง บริเวณ บ้านกำปงปีแซ ม.3 ต.ลุโบะบือซา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เมื่อทำการพิสูจน์ทางหลักนิติวิทยาศาสตร์ DNA จากแผงวงจร มีความเชื่อมโยงกับคดีในสารบบของ ศพฐ.10 ที่คนร้ายเคยลงมือก่อเหตุ 3 คดีด้วยกัน 

คดีแรกคือ เหตุคนร้ายลอบวางระเบิดและยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่บริเวณรางรถไฟสายยะลา-สุไหงโก-ลก บริเวณบ้านสะโลว์ ม.7 ต.รือเสาะอ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อ 18 พ.ย.55 ซึ่งได้มีการตรวจพบ DNA จากเทปกาวสีดำที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ

คดีที่ 2 จากกรณีเจ้าหน้าที่ทำการปิดล้อมตรวจค้น บริเวณภูเขา บ้านจือกอ ม.3 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 20 พ.ย.57 ซึ่งในครั้งนั้นตรวจพบ DNA จากก้นกรองบุหรี่ เสื้อ และกางเกงของผู้ก่อเหตุ และคดีที่ 3 จากกรณีเจ้าหน้าที่ทำการปิดล้อมตรวจค้น และเกิดการปะทะกับผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ บ้านตันหยง ม.5 ต.บาตง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.57ตรวจพบ DNA จากก้านสำลี สายไนล่อน และกระเป๋า


ส่วนผลพิสูจน์ DNA จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง บริเวณถนนสายนราธิวาส-ปัตตานี บ้านเปาะชี ม.7 ต.ลางา อ.มายอ จ.ปัตตานี พบว่ามีความเชื่อมโยงกับ DNA จากเยื่อบุกระพุ้งแก้มของ นายมัฮหมูด หาแว ภูมิลำเนาเลขที่ 279 บ.จำปากอ ม.1 ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส โดย สภ.ท่าธง เก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มผู้ต้องสงสัยตรวจสอบกับสารบบ เมื่อวันที่ 30 ก.ค.57 อีกทั้ง DNA ยังตรงกับการเก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มของ  นายมัฮหมูด หาแว จากการก่อเหตุลักลอบเข้าบ้านผู้เสียหาย ลัวใช้อาวุธมีดจี้ น.ส.นาสรีย๊ะ สะนา กระทำอนาจารจนสำเร็จความใคร่แล้วหลบหนีไป เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.58


เจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบวัตถุพยานจากแผ่นปรินท์วงจรที่ใช้ในการประกอบระเบิด พบว่าถูกส่งจากประเทศมาเลเซียทางเรือ โดยนำเข้าในพื้นที่เขตประเทศทางด้าน อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจในสังกัด ศชต. ดำเนินการตรวจสอบร้านค้าจำหน่ายท่อเหล็กทุกร้าน เพื่อหาเบาะแสของคนร้าย เพราะเชื่อว่าท่อเหล็กที่ใช้ในการประกอบระเบิดมีการจัดหาจัดซื้อในฝั่งไทย ก่อนนำมาประกอบแล้วนำไปก่อเหตุเสาไฟฟ้าสร้างมากกว่า 52 ต้น ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมในพื้นที่ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของการค้าการลงทุนนักธุรกิจ ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในห้วงเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ของไทยอีกด้วย 

ลัทธิ Brn Co-ordinate แผ่ขยายสู่มหาลัยรัฐตอนบน คนไทยได้อะไร?

"นายกะลา"


การต่อสู้ของกลุ่มเห็นต่างจากรัฐซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเรา กลุ่มเหล่านี้จับอาวุธทำการก่อเหตุสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมาร่วมนับสิบกว่าปี นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวในทางการเมืองควบคู่กับการใช้กำลังเพื่อหาแนวร่วมสนับสนุนในการกำหนดใจตนเองแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทย

ปีกการเมืองขบวนการ Brn Co-ordinate เป็นปีกการเมืองที่ทำการเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่องในการประกาศอย่างชัดเจนที่มีความต้องการกำหนดใจตนเองด้วยการจัดเวทีเสวนา การจัดกิจกรรมหรือแม้กระทั่งการใช้วาทกรรมเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนของความเป็นเจ้าของพื้นที่โดยไม่แยแสต่อความรู้สึกของกลุ่มคนกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ร่วมอาศัยกันมาช้านาน


ปีกการเมืองขบวนการ Brn Co-ordinate ทำการขับเคลื่อนผ่านกลุ่ม PerMAS ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการเคลื่อนไหวสนับสนุนงานการเมืองกลุ่มขบวนการ โดยมีนักศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นฐาน และได้แผ่ขยายไปยังสถาบันการศึกษานอกพื้นที่อื่นๆ เป็นภาคีเครือข่าย


ล่าสุดกลุ่มนักศึกษาซึ่งมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สร้างชมรมภาษาและวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อต้องการแสดงออกความเป็นตัวตน โดยใช้สโลแกนชมรมว่า "มุ่งศึกษา รักษ์อัตลักษณ์ มั่นจิตอาสา" ดูเผินๆ คงเป็นแค่การจัดตั้งชมรมของนักศึกษาธรรมดาๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เบื้องลึกมีความสอดคล้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่างชัดเจน กลับแฝงไส้ในไว้อย่างน่าเจ็บปวดซึ่งเมื่อถอดรหัสสโลแกน "รักษ์อัตลักษณ์ = ใช้คำว่า Patani" เป็นความแยบยลในการปลุกกระแสชาตินิยมโดยใช้วาทกรรมเป็นเครื่องมือภาษาสื่ออัตลักษณ์บอกฝ่ายตนเองอย่างชัดเจน

พฤติกรรมของนักศึกษากลุ่มนี้มีการยกย่องเชิดชูบุคคลในงานนิทรรศการของชมรมเน้นไปที่ หะยีสุหลง เทพเจ้าผู้จุดกระแสแบ่งแยกดินแดนของลัทธิ Brn Co-ordinate ซึ่งเป็นต้นตำรับที่เขียนอุดมการณ์บ่มเพาะความคิด บิดเบือน โหดเหี้ยมสุดโต่ง มีความรังเกียจต่อการอยู่ร่วมสังคมแบบพหุวัฒนธรรม เพ้อฝันสร้างรัฐอิสลามเป็นอาณาจักรปกครองตนเองมาจวบจนปัจจุบัน


นี่คือธาตุแท้และความรู้สึกนึกคิดและความต้อวงการของนักศึกษากลุ่มนี้ที่ใช้ฐานมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นฐานบ่อนทำลายรัฐ แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาต่อประวัติศาสตร์ที่บิดเบือน และส่งเสริมการใช้ถ้อยคำ Patani ที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนตั้งวาทกรรมห่วยๆนี้ขึ้นมาเป็นภาษาเชิงอัตลักษณ์ในการต่อสู้กับรัฐบาลไทย ในความคิดยังถูกปลูกฝังให้เคารพศรัทธาต่อ "หะยีสุหลง" ซึ่งเป็นต้นตำรับของบุคคลที่มีแนวคิด การกระทำในทางแบ่งแยกดินแดนอีกด้วย

จึงเป็นที่น่าตกใจ และเป็นห่วงต่อเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศที่ปีกการเมืองกลุ่มขบวนการใช้มหาวิทยาลัยของรัฐ ใช้สถานที่ราชการกัดกล่อนทำลายอย่างน่าวิตกกังวลอย่างมากต่อประเทศไทย หากเรายังไม่รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของคนกลุ่มนี้ และมีการเพิกเฉยไม่ใส่ใจยังคงปล่อยให้มีการเผยแพร่ลัทธิ Brn Co-ordinate ออกไปเรื่อยๆ ตามอำเภอใจในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ โดยกลับมองแค่ว่า "เป็นเพียงกิจกรรมของนักศึกษาเท่านั้นเอง" ไม่มีอะไรที่น่ากลัว อย่าลืมว่ามหันตภัยเงียบที่แฝงด้วยอัตลักษณ์วาทกรรมของขบวนการ สักวันจะย้อนกลับมาทำลายความมั่นคงของประเทศ ทำลายการอยู่ร่วมสังคมแบบพหุวัฒนธรรมของพี่น้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไม่เหลือซากให้จดจำ.

-------------------

3 เมษายน 2560

เมื่อรถ รพ.เบตง นำคนไข้ส่งผ่าตัดสมองถูกตะปูเรือใบโจรใต้เข้าข่ายขัดขวางการช่วยเหลือทางการแพทย์หรือไม่?

"นายกะลา"


จากเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนวันที่ 3 เมษายน 2560 กรณีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 30 คน ก่อเหตุยิงถล่มจุดตรวจยุทศาสตร์ อ.กรงปินัง จ.ยะลา โดยใช้อาวุธปืนอาก้า เอ็ม 16 และลูกซอง กระหน่ำยิงใส่ป้อมจากด้านบน รวมทั้งใช้ระเบิดไปป์บอม ขวดน้ำมันจุดไฟขว้างเข้าใส่ภายในป้อมเจ้าหน้าที่ จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้น

ส่วนคนร้ายอีกกลุ่มรวม 8 คน พร้อมอาวุธครบมือ วิ่งข้ามถนนเพื่อเข้าไปยิงที่ป้อม แต่ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.กรงปินัง ซึ่งเข้ามาช่วยได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มคนร้าย โดย 1 ในคนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ยิงได้รับบาดเจ็บ กลุ่มคนร้ายจึงได้ล่าถอยเข้าป่าสวนยางหลบหนีไป

หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจสอบโดยพบระเบิดไปป์บอมที่ไม่ทำงาน 5 ลูก ซึ่งคนร้ายขว้างใส่จุดตรวจแต่ไปติดตาข่าย ปลอกระสุนปืนอาก้า เอ็ม 16 เอชเค ตกอยู่กว่า 100 ปลอก

บริเวณเส้นทางถนนสายยะลา-กรงปินัง (ถนนสาย 410) เจ้าหน้าที่พบคนร้ายได้ตัดต้นไม้ขวางถนน เผายางรถยนต์ จำนวน 1 จุด และวางระเบิดไปป์บอมที่เสาไฟฟ้าริมทางได้รับความเสียหาย 1 ต้น นอกจากนั้น ยังพบระเบิดไปป์บอมไม่ทำงานอีก 8 ลูก

ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทำการเคลียร์เส้นทางถนนสาย 410 ที่คนร้ายทำการตัดโค่นต้นไม้ขวางถนนเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำการติดตาม นอกจากนี้ยังได้ทำการโปรยตะปูเรือใบ


ในห้วงเวลาต่อมา เวลาประมาณ 02.00 -03.00 น. ได้มีรถรีเฟอร์โรงพยาบาลเบตง วิ่งผ่านมาเพื่อนำผู้ป่วยผ่าตัดทางสมองทำการส่งตัวรักษาต่อที่ โรงพยาบาลศูนย์ยะลา แต่ในขณะที่ขับมาตามถนนได้มาเยียบตะปูเรือใบบริเวณ บ้านลือมุ หมู่ที่ 8 ตำบลกรงปินัง อำเภอกรงปินัง ส่งผลให้รถพยาบาลคันดังกล่าวต้องทำการเปลี่ยนยาง และเดินทางไปส่งคนไข้ล่าช้า


อีกทั้งบริเวณบ้านสาเก หมู่ที่ 1 ตำบลกรงปินัง อำเภอกรงปินัง มีการตัดต้นไม้ขวางถนน จำนวน 2 จุด เผายางรถยนต์บนสะพานคอนกรีต จำนวน 2 เส้น และโปรยตะปูเรือใบอีกด้วย

จากเหตุการณ์ดังกล่าว จากพฤติกรรมชองกลุ่มโจรใต้ ไร้ซึ่งมนุษยธรรม นอกจากทำการก่อเหตุที่มุ่งหมายเอาชีวิตเจ้าหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินของทางราชการและพลเรือนแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างแสนสาหัส เข้าข่ายขัดขวางการช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยเจ็บ

ฝากไปถึงกาชาดสากล ICRC ซึ่งมีสำนักงานที่ตั้งส่วนภูมิภาคที่จังหวัดปัตตานีไม่มีท่าทีหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ต่อเหตุการณ์ดังกล่าวเลยหรือ? ทั้งๆ ที่การกระทำของกลุ่มขบวนการโจรใต้มีผลต่อผู้ป่วยเจ็บ ขัดขวางการนำตัวผู้ป่วยไปทำการรักษาอย่างชัดเจน

ยังไม่นับรวมไปถึงองค์กรภาคประชาสังคมขาประจำ และขาจรทั้งหลาย คงจะปิดปากเงียบตามเคยไม่รู้สึกรู้สาต่อการกระทำที่ป่าเถื่อน โหดร้าย ไม่มีมนุษยธรรมของกลุ่มขบวนการ องค์กรเหล่านี้นอกจากไม่ได้ช่วยเหลืออะไร? ให้กับประชาชนแล้ว ยังจะคอยช่วยเหลือกลุ่มขบวนการโจรใต้ ด้วยการตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐ ปกป้องเรียกร้องมนุษยธรรมให้กับโจรใต้เท่านั้น...แล้วประชาชนจะหวังพึ่งพาอาศัยกับกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมเหล่านี้ได้อย่างไร?...

-------------------

คืบหน้า! กลุ่มโจรใต้ถล่มจุดตรวจร่วม 3 ฝ่ายกรงปินัง สั่งไล่ล่ากลุ่มคนร้ายคาดกบดานในพื้นที่


ยะลา - คืบหน้าเหตุคนร้ายบุกยิงถล่มจุดตรวจยุทธศาสตร์ อ.กรงปินัง จ.ยะลา รอง ผบ.ตร.รุดตรวจสอบ สั่งเจ้าหน้าที่ไล่ล่ากลุ่มคนร้าย คาดบุกมาไม่ต่ำกว่า 30 คน ถูกยิงบาดเจ็บ 1 ราย

วันที่ 3 เม.ย.60 ความคืบหน้ากรณีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 30 คน ก่อเหตุยิงถล่มจุดตรวจยุทศาสตร์ อ.กรงปินัง จ.ยะลา ที่ผ่านมา ล่าสุด พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เดินทางเข้าตรวจสอบพื้นที่ โดยได้สั่งการให้ พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ให้ดำเนินการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดโดยรอบบริเวณ รวมทั้งให้ชุดสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ลงพื้นที่เพื่อติดตามกลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้


มีรายงานว่า ภายหลังการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่า ขณะเกิดเหตุคนร้ายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรก จำนวน 5-7 คน ปีนขึ้นบนหลังคาบ้าน ซึ่งอยู่ติดกับป้อมจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ ใช้อาวุธปืนอาก้า เอ็ม16 และลูกซอง กระหน่ำยิงใส่ป้อมจากด้านบน รวมทั้งใช้ระเบิดไปป์บอม ขวดน้ำมันจุดไฟขว้างเข้าใส่ภายในป้อมเจ้าหน้าที่ จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้น


จากนั้นภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพกลุ่มคนร้ายรวม 8 คน พร้อมอาวุธครบมือ วิ่งข้ามถนนเพื่อเข้าไปยิงที่ป้อม แต่ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.กรงปินัง ซึ่งเข้ามาช่วยได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มคนร้าย โดย 1 ในคนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ยิงได้รับบาดเจ็บ กลุ่มคนร้ายจึงได้ล่าถอยเข้าป่าสวนยางหลบหนีไป


ซึ่งในระหว่างเกิดเหตุ กลุ่มคนร้ายอีก 2 กลุ่ม ได้ทำการตัดต้นไม้ เผายางรถยนต์ วางวัตถุต้องสงสัย โปรยตะปูเรือใบ บนถนนสาย 410 ก่อนเข้าพื้นที่ อ.กรงปินัง รวมทั้งโปรยตะปูเรือใบสกัดกั้นเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานทางเข้า สภ.กรงปินัง เพื่อสกัดกั้นการเข้าช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่


มีรายงานจากหน่วยงานความมั่นคง ระบุว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มของ นายอาบัส เจ๊ะอาลี แกนนำก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ รวมทั้ง นายอาหมัด ลือแบซา ซึ่งรับผิดชอบก่อเหตุในพื้นที่ อ.กรงปินัง อ.บันนังสตา ร่วมกันก่อเหตุในครั้งนี้ และมีกลุ่มแนวร่วมไม่ตำกว่า 30 คน

จะเรียกคน 3 จชต.ด้วยคำอะไร? ก็ไม่ว่า..แต่อย่าหมายถึงคนกลุ่มเดียว

"นายกะลา"


 “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ดินแดนที่มีความหลากหลายของการอยู่ร่วมของผู้คน หลากหลายทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และประเพณีวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นที่ควรค่าแก่การศึกษาและดำรงไว้อยู่คู่กับชุมชน สังคมแห่งนี้ในอดีตที่ผ่านมาผู้คนต่างอยู่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่มีการปิดกั้นแยกเขาแยกเรา มีการเดินทางไปมาหาสู่ฉันท์ญาติพี่น้อง ช่วยเหลือซึ่งกัน แม้จะแตกต่าง แต่ไม่แตกแยกสามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่สวยงาม

แต่ไม่น่าเชื่อว่ามีกลุ่มคนที่แสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวมาสร้างความแตกแยกในหมู่พี่น้องที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้ หวังเพียงเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มเดียว หรือเพียงศาสนาเดียว
ความเห็นแก่ตัวของคนกลุ่มนี้ได้มีผู้กล่าวขานให้ฟังอยู่เนืองๆ เรียกร้องโน่นนี่ไม่มีที่สิ้นสุด รัฐใจดีประเคนให้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ขอ..แต่ความเห็นแก่ตัวมีหรือจะพอเพียง ได้คืบจะเอาศอก  เคลื่อนไหวชี้ให้เห็นว่ากลุ่มตนไม่ได้รับความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในสังคม

ลองไปสำรวจดูโครงการของรัฐที่ขับเคลื่อนลงมาสู่ชายแดนใต้แห่งนี้ให้ความสำคัญกับใคร? ใครคือผู้รับผลประโยชน์และอภิสิทธิ์ชนที่เหนือกว่าคนกลุ่มอื่นในพื้นที่ หรือแม้กระทั่งประชากรส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังไม่เทียบเท่า

ย้อนกลับไปมองชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ ได้แค่นั่งมองตาปริบๆ ถึงความเป็นอภิสิทธิ์ชนของคนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่ที่ใช้ความเห็นแก่ตัวกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างให้กับกลุ่มตนโดยไม่แยแสต่อความรู้สึกของคนกลุ่มอื่นๆ

ปีกการเมืองของกลุ่มขบวนการอย่างกลุ่ม PerMAS”ที่ใช้คำว่านักศึกษาบังหน้าแฝงตัวอยู่ในสถานศึกษาของรัฐ มหาวิทยาลัยชื่อดัง จัดตั้งชมรมมุ่งเน้นจัดกิจกรรมสอดแทรกความเห็นแก่ตัวค่อยๆ ใส่ความคิดทีละน้อยสร้างอารมณ์ร่วมของการเป็นคนเพียงกลุ่มเดียว หรือศาสนาเดียว

การจัดกิจกรรมประเภทแอบแฝงซ่อนเร้นเพื่อหวังผลทางการเมือง มีให้เห็นมานักต่อนักไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาของมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดยะลา ขบวนพาเหรดมีการถือป้ายผ้า

ข้อความประกาศความเป็นตัวตนไม่ยอมรับความเป็นคนไทย
การรุกคืบไม่ได้จำเพาะเจาะจงอยู่แค่ในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่ได้ลุกลามไปยังภูมิภาคอื่นๆ ที่กลุ่มคนเหล่านั้นได้เดินทางไปศึกษา ไม่ว่าจะไปทำงาน หรือตั้งรกรากเป็นชุมชน ยังมิวายที่ไปจัดกิจกรรมมักแสดงความเป็นหนึ่งเดียวที่ส่อให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวที่น่ารังเกียจ


ล่าสุดในมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีกลุ่มคนเห็นแก่ตัวจัดตั้ง ชมรมภาษาและวัฒนธรรมมลายู หากการดำเนินกิจกรรมเป็นไปตามวัตถุประสงค์และชื่อของชมรมน่าจะสนับสนุน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่มีการแอบแฝงดำเนินกิจกรรมสร้างการรับรู้ไม่แตกต่างจากพื้นที่ชายแดนใต้เท่าใดนัก

เราในนามคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชายแดนใต้คนหนึ่ง กลุ่มของคุณจะเรียกคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยคำอะไร? ก็ไม่ว่า ถ้าเรียกแล้วมันแสดงถึงความเป็น 1 เดียว แต่...ถ้าเรียกแล้ว หมายถึง คนเพียง...กลุ่มเดียว หรือเพียงศาสนาเดียว!! ก็อย่าเอาคำที่แสดงถึงความเห็นแก่ตัวมาสร้างความแตกแยกให้สังคมพหุวัฒนธรรมเลยครับ!!

2 เมษายน 2560

จากเมืองลังกาสุกะ....สู่เมืองปัตตานี ตอนจบ


…….(ต่อจากตอนที่ 3) ดี.จี.อี. ฮอลล์ กล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม ๑ ว่า "รัฐปัตตานีก็เปลี่ยนศาสนาเพราะมะละกา" สาเหตุเพราะ มะละกา โกรธแค้นไทย ที่เคยไปโจมตีมะละกา สุลต่านมุซัฟฟาร์ชาฮ์ จึงส่งกองทัพมาตีหัวเมืองประเทศราชของไทย คือ ปาหัง ตรังกานู และปัตตานีไว้ได้ระยะหนึ่ง ระหว่างปี พ.ศ.๑๙๘๘ - ๒๐๐๒ ต่อมา ในสมัยของสุลต่านมันสุร์ชาฮ์ ราชโอรสของสุลต่านมุซัฟฟาร์ชาฮ์ ซึ่งครองราช ต่อจากพระราชบิดา ในปี พ.ศ.๒๐๐๒ - ๒๐๒๐ จึงยอมตกลงเป็นมิตรกับไทย ฉะนั้น หัวเมืองประเทศราชของไทย ซึ่งเคยนับถือ ศาสนาพุทธมาก่อน ได้แก่ ปาหัง ตรังกานู กลันตัน ปัตตานี และไทรบุรี ก็คงจะทำการเปลี่ยนศาสนา ในรัชสมัย ของกษัตริย์ มะละกา องค์ใดองค์หนึ่ง ที่กล่าวมาแล้ว เพราะระยะนั้น อาณาจักรมะละกามีอำนาจทางการเมืองเข้มแข็งมาก และยังทำหน้าที่ เป็นศูนย์กลาง การเผยแพร่ศาสนาอิสลามอีกด้วย อนึ่ง ระยะเวลาที่พญาอินทิรา เจ้าเมืองปัตตานี ผู้เปลี่ยนศาสนา มารับอิสลาม ครองเมืองปัตตานี ระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๒ - ๒๐๕๗ นั้น ใกล้เคียงกับสมัยของสุลต่านมันสุร์ชาฮ์ มาก

…….อาณาจักรสิงหัดสาหรี ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกเจ้าชายจายากัตวัง แห่งแคว้นเคดิรี ลอบเข้ามา โจมตี นครหลวง ในขณะที่ พระเจ้า เกอรตานาการา กำลังประกอบพิธีบูชาศิวะพุทธเจ้า เจ้าชายวิชายา ราชบุตรเขย ซึ่งยอมจำนนต่อเจ้าชายจายากัตวัง และได้รับ การแต่งตั้ง ให้ไปปกครองดินแดนในแถบลุ่มน้ำ Brantas ได้รวบรวมกำลังขึ้นต่อสู้กู้เอกราชกลับคืนมาได้ และได้จัดตั้ง อาณาจักร มัชฌปาหิต ขึ้นในปี พุทธศักราช ๑๘๓๖

…….หนังสือเนเกอราเกอรตากามา แต่งโดยพระปัญจนักบวชในลัทธิศิวะพุทธ ได้กล่าวถึงอิทธิพลของกษัตริย์มัชฌปาหิตว่า ได้ส่ง กองทัพเรือ เข้ามา ยึดครอง ดินแดนตามหมู่เกาะ ตลอดขึ้นมาถึงปลายแหลมไทย-มลายู ยึดปาหัง เสียมวัง กลันตัน และตรังกานู ฯลฯ ซึ่งเรียกรวมๆ กันว่า ลังกาสุกะ ไว้ได้

…….ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ก็ได้บันทึกสนับสนุนข้อความที่พระปัญจเขียนไว้ว่า "ครั้งนั้นเจ้าเมืองชาว ยกไพร่พลมาทางเรือ มารบ เอาเมือง ชวา จับตัวพระยา ได้พระอัครมเหสี ก็ตามพระยา (นครฯ) ไปถึงเกาะอันหนึ่ง ได้ชื่อว่า เกาะนาง โดยครั้งนั้น ชวา ก็ให้ เจ้าเมือง ผูกส่วย ไข่เป็ด แก่ชวา ชวาก็ให้พระยา (นครฯ) คืนมาเป็นเจ้าเมือง" ตามเดิม
…….ในระยะเดียวกันนี้ อาณาจักรสุโขทัยก็ได้แผ่อำนาจเข้ามาครอบครองรัฐละโว้-อโยธยา สุพรรณภูมิ และนครศรีธรรมราช ไว้ และได้ผนวก กำลัง กันเข้าทำการขับไล่อิทธิพลของกษัตริย์มัชฌปาหิตออกไปจากแหลมไทยมลายู ดังปรากฏ หลักฐาน แสดงอาณาเขต ของ อาณาจักร สุโขทัยในครั้งนั้นไว้ในจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า "เบื้องหัวนอนรอด คนที แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งสมุทรเป็นที่แล้ว" หลักฐานจีนก็ว่า ปี ค.ศ.๑๒๙๕ (พ.ศ.๑๘๓๘) จีนส่งฑูตมาตักเตือนสุโขทัยไม่ให้รุกรานมาลิยูเออร์ (ความสัมพันธ์ระบบบรรณาการ ระหว่าง จีนกับไทย หน้า ๓๗ ของ ดร.สืบแสง พรหมบุญ มาลิยูเออร์ นี้ บางท่านว่า คือ เมืองแจมบี ในเกาะสุมาตรา)

…….รัฐลังกาสุกะ จึงเข้ามารวมอยู่ในพระราชอาณาจักรของชาวไทยเป็นครั้งแรก ภายใต้การควบคุมของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็น พระญาติ ของพระเจ้าขุนรามคำแหงตั้งแต่นั้นมา ดังที่โทเมบีเรส์ กล่าวว่า "ผู้เป็นใหญ่" (ในการบังคับบัญชาราชอาณาจักร) รองลงมา (จากพระเจ้าแผ่นดิน) คืออุปราชแห่งเมืองนคร เรียกกันว่า "Poyohya" (พ่ออยู่หัว) เขาเป็นผู้ว่าราชการจากปะหังถึงอยุธยา และหลักฐาน ทางจีน ก็กล่าวว่า ใน ค.ศ.๑๔๑๙ (พ.ศ.๑๙๖๒) "ขันทีหยางหมิน (Yangmin) เดินทางมาไทย พร้อมกับ อัญเชิญ คำตักเตือน ของ องค์จักรพรรดิ์ ต่อการรุกรานมะละกาของไทย"

…….กษัตริย์มะละกาขณะนั้น คือ เจ้าชายปรเมศวร หนังสือ Sumariental ของ Tome Pires กล่าวว่า เจ้าชาย ปรเมศวร มีเชื้อสาย มาจาก ราชวงศ์ ไศเลนทร์ แห่งเมืองปาเล็มบัง ไปได้เจ้าหญิงในราชวงศ์มัชฌปาหิตมาเป็นพระชายา ต่อมาเกิดขบถขึ้นในเมืองมัชฌปาหิต โดยเจ้าชาย วีรภูมิเป็นผู้นำ ในปี ค.ศ.๑๔๐๑ (พ.ศ.๑๙๔๔) จึงลี้ภัยการเมืองมาอาศัยเจ้าเมือง Tamasik (สิงคโปร์) ภายหลัง เจ้าชาย ปรเมศวร ได้ลอบฆ่า เจ้าเมือง Tammasik เจ้าเมืองปัตตานีซึ่งเป็นพระญาติกับเจ้าเมือง Tammasik ได้ขับไล่ปรเมศวรออกไปจากเมือง Tammasik ปรเมศวรจึงหนีมาตั้งเมืองมะละกาขึ้นในปี ค.ศ.๑๔๐๓ (พ.ศ.๑๙๔๖)

…….ต่อมา เจ้าชายปรเมศวรได้อภิเษกสมรสกับพระธิดาเจ้าเมืองปาไซในเกาะสุมาตราที่นับถือศาสนาอิสลาม ปรเมศวร จึงเลื่อน จากการ นับถือ ศาสนาฮินดู (ศิวะพุทธ) มาเป็นศาสนาอิสลาม และได้เฉลิมพระนามตามหลักการของศาสนาอิสลามมีนามว่า เมกัตอิสกานเดอร์ชาฮ์

…….เจ้าชายปรเมศวรต้องเดินทางไปเฝ้าจักรพรรดิ์จีน เพื่อขอให้จีนช่วยเจรจาห้ามปรามกษัตริย์ไทย ทำการรุกราน มะละกา ซึ่งฝ่ายไทยถือว่า ดินแดนมะละกา อยู่ในความปกครองของไทยมาก่อน ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศว่า "ครั้งนั้น พระยา ประเทศราชขึ้น ๑๖ เมือง คือ เมืองมะละกา เมืองชวา เมืองตะนาวศรี เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลำเลิง เมืองสงขลา เมืองจันทบูร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิจิตร เมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์" และในกฎ มณเฑียรบาล ประมาณว่าเขียนในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ราวปี พ.ศ.๑๙๐๓ หรือ ๑๙๙๐ ก็ว่า "กษัตริย์ แต่ได้ถวายดอกไม้ทองเงินนั้น เมืองใต้ เมืองอุยงตาหนะ (หรือฮุยงเมทนี ยะโฮร์ และสิงคโปร์) เมืองมะละกา เมืองมลายู เมืองวรวารี (ไทรบุรี) ๔ เมืองถวายดอกไม้ทองเงิน"

…….พ.ศ.๑๘๖๖ อาณาจักรสุโขทัยหลังจากพ่อขุนรามคำแหงสิ้นพระชนม์ (พ.ศ.๑๘๔๓) แล้ว กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มา ไม่สามารถ ดำรงความเป็น ผู้นำ ไว้ได้ พระบรมราชากษัตริย์แห่งรัฐละโว้ อโยธยา ทรงปฏิเสธต่ออำนาจอาณาจักรสุโขทัย ได้เข้ายึดครอง เมืองนครศรีธรรมราช ตลอดไปจนถึงหัวเมืองต่างๆ บนแหลมมลายู ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ความว่า "เมื่อท้าวอู่ทอง กับท้าวศรีธรรมโศกราช จะเป็นไมตรีกันนั้น ท้าวอู่ทองขึ้นบนแท่นแล้ว พระยาศรีธรรมโศกจะขึ้นไปมิได้ ท้าวอู่ทอง ก็จูงพระกร ขึ้นมงกุฎ ของพระเจ้าศรีธรรมโศก ตกจากพระเศียร แล้วท้าวศรีธรรมโศกสัญญาว่า เมื่อตัวพระองค์ กับพระอนุชา ของพระองค์ ยังอยู่ ให้เป็นทอง แผ่นเดียวกัน ถ้าท้าวอู่ทองต้องประสงค์สิ่งใดจะจัดแจงให้นานไปเบื้องหน้าให้มาขึ้นกรุงศรีอยุธยา"

…….ชาวจีนชื่อ หวังต้าหยวน ก็ได้บันทึกไว้ในปี ค.ศ.๑๓๔๙ (พ.ศ.๑๘๙๒) ว่า เสียน (สยาม) โจมตี Tammasik (สิงคโปร์) ซึ่ง "เสียน" ในที่นี่หมายถึง อาณาจักรละโว้-อโยธยา ของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง

…….ครั้นถึงปี พ.ศ.๑๘๘๕ กษัตริย์ละโว้-อโยธยา ก็ส่งพระพนมวัง-นางสะเดียงทอง ออกมาปกครองเมืองนครศรีธรรมราช พระพนมวัง ได้สร้างเมืองนครดอนพระ (อำเภอกาญจนดิษฐ์) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นเป็นศูนย์การปกครองอยู่ชั่วคราว ต่อมาราวปีพุทธศักราช ๑๘๘๗ พระพนมวังแต่งตั้งให้พระฤทธิเทวา (เจสุตตรา) ออกไปครองเมืองปัตตานี หนังสือสยาเราะห์เมืองปัตตานี เรียกชื่อเมืองปัตตานีสมัยนั้นว่า "เมืองโกตามหลิฆัย" ส่วนหนังสือเนเกอรราเกอราคามา เรียกว่า "ลังกาสุกะ" ประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีกล่าวต่อไปว่า พระฤทธิเทวา (พระเปตามไหยกาของพญาอินทิรา) ได้นำชาวเมืองโกตามหลิฆัย ไปช่วยพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สร้างพระนคร ศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ.๑๘๙๐ - ๑๘๙๓)

…….พระฤทธิ์เทวา (เจสุตตรา) ครองเมืองโกตามหลิฆัยอยู่จนถึงปี พ.ศ.๑๙๒๗ ก็สิ้นพระชนม์ รวมเป็นระยะเวลาที่ครองราชย์อยู่ ๔๐ ปี กษัตริย์องค์ต่อไป ไม่ปรากฏนามชัดเจน ประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีระบุเพียงว่าเป็นสมเด็จพระอัยกาของพญาอินทิรา ครองราชย์ อยู่ระหว่างปี พ.ศ.๑๙๒๗ - ๑๙๖๗ เป็นเวลา ๔๐ ปี พระโอรสมีนามว่าพญาตุกูรุปมหาจันทรา ได้เสวยราชสมบัติสืบต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๙๖๗ - ๒๐๑๒ รวม ๔๕ ปี พญาอินทิราราชโอรสก็ได้ขึ้นครองนครโกตามหลิฆัยเป็นองค์สุดท้าย ระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๒ - ๒๐๕๗ รวม ๔๕ ปี

…….ในรัชสมัยของพญาอินทิรา ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ได้แก่ การเข้ารีตรับศาสนาอิสลามของพญาอินทิรา ประวัติศาสตร์ เมืองปัตตานี กล่าวถึงสาเหตุ ที่พญาอินทิรา ต้องเปลี่ยนจากการนับถือพระพุทธศาสนา มานับถือศาสนาอิสลามว่า เนื่องจากพระองค์ ทรงประชวร ด้วยโรคผิวหนัง (น่าจะเป็นโรคเรื้อน) นายแพทย์ซึ่งเป็นมุสลิม ชื่อ เช็คสอิด (หนังสือสยาเราะห์เกอรจาอันมลายูปัตตานี ของ อิบรอฮิม ซุกรี เรียก "เช็กซาฟานุคดีน") (น่าจะเป็นชาวเมืองปาไซในเกาะสุมาตรา) ซึ่งเข้ามาตั้งนิวาสสถานอยู่ ณ หมู่บ้านปาไซ (บ้านป่าศรี ในท้องที่ อำเภอยะหริ่ง) ได้รับอาสาถวายการพยาบาล โดยมีเงื่อนไขว่า หากพระองค์ได้รับการรักษาจนหายจากโรคแล้ว ขอให้พญาอินทิรา ทรงเปลี่ยนจากการเป็นพุทธมามกะมาเป็นอิสลามิก ซึ่งต่อมา พระองค์ก็ได้รับการพยาบาลจากนายแพทย์เช็คสอิด จนโรคผิวหนังนั้น หายขาดสนิท และทรงปฏิบัติตามสัญญา ที่ให้ไว้แก่นายแพทย์เช็คสอิด ด้วยการเข้ารับศาสนาอิสลาม เป็นพระองค์แรก ของกษัตริย์เมือง โกตามหลิฆัย และทรงเปลี่ยนพระนามพระองค์ตามประเพณีศาสนามีนามว่า สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์ แต่หนังสือ สยาเราะห์ เกอรจาอัน มลายู ปัตตานี ของอิบรอฮิม ซุกรี เรียกว่า สุลต่านมูฮัมหมัดชาฮ์........ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน

ที่มา : หนังสือ ประวัติเมืองลังกาสุกะ - เมืองปัตตานี /ผู้เขียน อนันต์ วัฒนานิกร

***อ่านย้อนหลัง***
จากลังกาสุกะมาเป็นเมือง ปัตตานี ตอน 1
จากลังกาสุกะมาเป็นเมือง ปัตตานี ตอน 2
จากเมืองลังกาสุกะ...สู่เมืองปัตตานี ตอนที่ 3